
นักวิชาการชี้ 3 ปม 'โจมตี' ทำร้าย 'ปารีส' คร่ามวลมนุษยชาติ

นักวิชาการชี้ 3 ปม 'โจมตีปารีส'
เหตุการณ์โจมตีหลายจุดกลางมหานครปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทั้งลอบวางระเบิดและกราดยิง ทำให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งสาเหตุการก่อการร้ายครั้งนี้ นักวิชาการได้วิเคราะห์แนวโน้มเหตุจูงใจไว้หลายกรณี
“ดร.ศราวุฒิ อารีย์” รองผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองแนวโน้มความเป็นไปได้ที่อาจเป็นชนวนเหตุของการโจมตีกลางกรุงปารีสว่า มีได้ 3 แนวทางด้วยกัน
แนวทางที่หนึ่ง กลุ่มติดอาวุธมุสลิมเป็นผู้กระทำ ซึ่งมีความเป็นไปได้ เพราะที่ผ่านมาหลังเหตุการณ์ 9/11 มีการโจมตีในยุโรปบ่อยครั้ง เช่น การโจมตีรถไฟในประเทศสเปน ปี 2547 รถไฟใต้ดินในอังกฤษ ปี 2548 หรือเมื่อต้นปี 2558 ก็เพิ่งเกิดเหตุการณ์กราดยิงที่สำนักงานนิตยสารชาร์ลี เอบโด เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผู้กระทำส่วนใหญ่เป็นกลุ่มติดอาวุธมุสลิม และเป็น “โฮมโกรว์น” คือ อาหรับมุสลิมที่เติบโตในยุโรป แต่ปฏิเสธรัฐบาลหรือนโยบายของประเทศตน
แนวทางที่สอง ความเกี่ยวโยงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะสงครามในซีเรียและอิรักที่กำเนิด “กลุ่มไอเอส” หรือกลุ่มรัฐอิสลามขึ้นมา สมาชิกของไอเอสที่เป็นชาวต่างชาติส่วนใหญ่ก็มาจากยุโรป
สิ่งที่เกิดขึ้นกับไอเอสก็เหมือนสงครามในอัฟกานิสถานก่อนเข้าสู่ยุคสงครามเย็น โดยคนที่ร่วมรบในอัฟกานิสถานมาจากประเทศต่างๆ เมื่อพวกเขากลับไปก็ไปต่อต้านรัฐบาลหรือก่อเหตุรุนแรงในประเทศของตัวเอง ซึ่งลักษณะเช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับซีเรียในปัจจุบัน มีคนต่างชาติไปร่วมรบกับไอเอส คนกลุ่มนี้เมื่อกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองก็ถือว่ามีอันตราย และมีแนวโน้มก่อเหตุใช้ความรุนแรงในประเทศของตนเพื่อต่อต้านรัฐบาลของตน

ระยะหลังฝรั่งเศสเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองในตะวันออกกลางสูงมาก หลังอาหรับสปริง ฝรั่งเศสเป็นแกนนำในการถล่มลิเบีย เปลี่ยนแปลงการปกครองในลิเบีย และล่าสุดยังเป็นพันธมิตรกับสหรัฐในปฏิบัติการถล่มไอเอส เหล่านี้อาจเป็นแรงจูงใจที่นำไปสู่เหตุการณ์โจมตีกลางกรุงปารีสได้ทั้งสิ้น
ส่วนแนวทางที่สาม กระแสเติบโตของพวกชาตินิยมขวาจัดในยุโรปเอง ต้องไม่ลืมว่าหลายเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น เช่น กราดยิง เป็นการกระทำของพวกขวาจัดเพื่อต่อต้านรัฐบาลของตัวเอง ฝ่ายขวาจัดเหล่านี้มีแนวคิดต่อต้านมุสลิมด้วย
สถานการณ์การอพยพจากของคนมุสลิมจากตะวันออกลางและแอฟริกาเข้าไปยุโรป ตลอดจนกระแสการเติบโตของคนอิสลามในยุโรปเอง ล้วนสร้างความไม่พอใจให้แก่พวกขวาจัด จึงไม่สามารถตัดประเด็นพวกนี้ทิ้งไปได้
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาว่ามีผลกระทบกับไทยหรือไม่ ดร.ศราวุฒิ บอกว่า วันนี้การก่อความรุนแรงกระทำได้ง่ายมาก ทำให้รัฐบาลประเทศต่างๆ พยายามสกรีนหรือกำหนดมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศอย่างเข้มงวด เพราะประเทศไหนที่มาตรการเหล่านี้หละหลวม ก็จะง่ายต่อการถูกใช้วิธีรุนแรงและการก่อการร้ายเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ของกลุ่มที่ดำเนินการ
อย่างไรก็ดี กรณีที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสเป็นอีกกรณีหนึ่งที่ไม่เหมือนกับไทย เพราะฝรั่งเศสมีผู้อพยพมุสลิมจำนวนมากตั้งแต่ในอดีต และฝรั่งเศสก็เป็นเจ้าอาณานิคมในตะวันออกกลาง มีการนำคนมุสลิมไปเป็นแรงงานมานานแล้ว เมื่อคนในเจเนอเรชั่นหลังๆ ที่เป็นมุสลิมเชื้อสายตะวันออกลางหรือแอฟริกาเติบโตขึ้นมา (โฮมโกรว์น) แล้วพวกเขาถูกเลือกปฏิบัติ ไม่ได้เสรีภาพอย่างเต็มที่ สภาพเศรษฐกิจสังคมก็ไม่ดีก็เป็นแรงจูงใจให้ก่อเหตุรุนแรงขึ้นมาได้
“คนเหล่านี้มีลักษณะต่อต้านรัฐค่อนข้างสูง ซึ่งสภาพที่เกิดในฝรั่งเศสไม่เหมือนไทย เพราะไม่มีปัญหาแบบนี้” ดร.ศราวุฒิ ระบุ
--------------------
ภัยก่อการร้ายยุคใหม่“ป้องกันยาก”
ภัยก่อการร้ายที่ประเทศต่างๆ ซึ่งตกเป็นเป้าหมาย ได้พยายามสร้างกลไกตลอดจนมาตรการต่างๆ ป้องกันไม่ให้เหตุร้ายเกิดขึ้น ซึ่งการก่อเหตุถล่มกรุงปารีสได้กลายเป็นหัวข้อสำคัญประการหนึ่งว่าเราจะป้องกันภัยก่อการร้ายรุนแรงอย่างนี้ได้เพียงใด โดยมีผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นและมุมมองไว้หลากหลายด้วยกัน
อดีตผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานด้านข่าวระบุว่า เหตุโจมตีกลางกรุงปารีสมีลักษณะเป็นภัยคุกคามที่เรียกว่า อันโนว์ เธรท (unknown threat) คือระบบข่าวกรองตรวจไม่พบการวางแผน จึงเป็นภัยคุกคามที่ยากต่อการป้องกัน
“ภัยคุกคามแบบนี้ ไม่สามารถวางแหล่งข่าวในกลุ่มเป้าหมายได้ เพราะไม่รู้ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมาย การประสานงานกับหน่วยข่าวกรองต่างประเทศก็จะมีปัญหาคล้ายๆ กัน เพราะแต่ละประเทศก็จะเน้นหนักเฉพาะเป้าหมายที่เป็นภัยของตนเอง ไม่มีใครมาช่วยดูเป้าหมายที่เป็นภัยของประเทศอื่นมากนัก ฉะนั้นจึงต้องพึ่งตัวเองเป็นหลัก”
ด้าน “นันทิวัฒน์ สามารถ” อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ กล่าวว่า ไม่อยากด่วนสรุปว่าเหตุโจมตีอย่างน้อย 6 จุดกลางกรุงปารีสเป็นการกระทำของกลุ่มใด เพราะต้องรอความชัดเจนก่อน แต่ต้องยอมรับว่าฝรั่งเศสมีแผนการรับมือเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งประกาศภาวะฉุกเฉิน และปิดพรมแดนอย่างรวดเร็ว
ส่วนในแง่ของการวางมาตรการป้องกัน นันทิวัฒน์ กล่าวว่า การก่อการร้ายสมัยใหม่ป้องกันยาก แต่ก็มีวิธีที่จะดำเนินการได้ เพียงแต่ต้องเข้มงวดรัดกุมกับเรื่องคนเข้าเมืองให้มาก

“พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์” อดีตนายทหารประจำศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) มองว่า ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในสามประเทศหลักที่เสี่ยงโดนโจมตี พอๆ กับอังกฤษ และอเมริกา เพราะมีบทบาทสูงในการต่อต้านไอเอส แม้ไม่ส่งกองกำลังไปร่วม แต่ก็แสดงท่าทีสนับสนุนชัดเจน
“ฉะนั้นรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงของฝรั่งเศสน่าจะประเมินสถานการณ์ได้ก่อน และน่าจะป้องกันได้ดีกว่านี้ แต่จุดอ่อนหนึ่งของฝรั่งเศสคือ ไปฝากงานความมั่นคงไว้กับกระทรวงมหาดไทย ไม่มีหน่วยงานดูแลเป็นการเฉพาะ เหมือนอย่างสหรัฐที่ตั้ง “โฮมแลนด์ ซีเคียวริตี้” ภายหลังเหตุการณ์ 9/11 เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศที่ตั้งหน่วยงานกลางขึ้นมารับผิดชอบงานความมั่นคงโดยตรง แต่ฝรั่งเศสไม่มี”
หากพิจารณาดูอังกฤษ เมื่อโดนโจมตีจากเหตุระเบิดรถไฟใต้ดินกลางกรุงลอนดอน เมื่อปี 2548 ได้จัดระบบซีซีทีวีใหม่เลย แต่ฝรั่งเศสไม่ได้ทำอะไร ทั้งที่เคยเกิดเหตุโจมตีในลักษณะก่อการร้ายหลายครั้งที่ผ่านมา
สำหรับการก่อเหตุครั้งนี้ได้กระทำพร้อมกันหลายจุด สะท้อนว่ามีการซ่องสุมกำลังและวางแผนมานานพอสมควร จำนวนคนที่ร่วมก่อเหตุน่าจะมากกว่า 20 คน
บทวิเคราะห์ของ พล.ท.นันทเดช สอดคล้องกับหน่วยงานที่ทำงานด้านก่อการร้ายของกองทัพ ที่ประเมินว่าผู้ก่อเหตุโจมตีกลางกรุงปารีสมีราว 30-40 คน
--------------------
“ยุโรป”พื้นที่เป้าหมายก่อเหตุร้าย
“ปณิธาน วัฒนายากร” ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า กำลังตรวจสอบกับหน่วยงานความมั่นคงต่างประเทศว่า ก่อนหน้านี้มีการพบข้อมูลเบื้องต้นที่จะแจ้งเตือนถึงการก่อเหตุในครั้งนี้หรือไม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพหน่วยงานความมั่นคงของแต่ละแห่งที่จะหยิบข้อมูลนั้นมาป้องกัน แต่เชื่อว่าประเทศฝรั่งเศสมีความพร้อมในการรับมือ เห็นได้จากหลังเกิดเหตุในทันทีนายกรัฐมนตรีได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน ปิดพรมแดน ขณะที่ประเทศไทย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลงานฝ่ายความมั่นคง ได้สั่งการกำชับหน่วยงานในประเทศแล้ว
“เชื่อว่า ยุโรปคือพื้นที่เป้าหมายสำคัญของกลุ่มที่ก่อเหตุ เนื่องจากก่อนหน้านี้ประเทศฝรั่งเศสเคยพบกับเหตุวินาศกรรมมาแล้วหลายครัั้ง และพบการแจ้งเตือนล่วงหน้ากันอย่างกว้างขวาง และยังเกิดเหตุขึ้น แสดงว่าการป้องกันยังคงมีปัญหา แต่ก็เป็นเรื่องยากในการป้องกัน เพราะจุดเกิดเหตุส่วนใหญ่เป็นสถานที่สาธารณะ ขณะที่ปารีสเป็นเมืองเปิด การดูแลป้องกันเพื่อไม่ให้กระทบต่อการท่องเที่ยวจึงเป็นเรื่องยาก”
--------------------
ไทยควรปฏิรูปความมั่นคงชาติ
เกิดคำถามว่า ขนาดประเทศฝรั่งเศสมีหน่วยข่าวกรองที่มีศักยภาพสูงมาก และมีเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านการข่าวจำนวนมาก มีสายลับกระจายอยู่ในหลายประเทศ และมีเครื่องมือพิเศษที่ทันสมัย รวมทั้งกฎหมายพิเศษต่างๆ แต่ยังป้องกันเหตุการณ์ก่อการร้ายขนาดใหญ่ไม่ได้
แหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคงของไทยชี้ให้เห็นว่า เหตุการณ์ที่ฝรั่งเศสโดนโจมตีคืออุทาหรณ์ให้ประเทศไทยต้องคิดปฏิรูปมาตรการรักษาความปลอดภัยของชาติใหม่ทั้งระบบ ซึ่งทุกวันนี้ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดความจริงว่าเราต้องปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยเยอะมาก และประชาชนจำเป็นต้องยินยอมให้หน่วยงานความมั่นคงมีอำนาจพิเศษบางประการ เพราะภัยคุกคามที่คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ถือเป็นภัยคุกคามที่อันตรายมาก ทุกประเทศมีโอกาสตกเป็นเป้าหมาย
ทั้งนี้ประเทศไทยอาจหนีไม่พ้นความเสี่ยงเช่นกัน โดยความเสี่ยงที่ว่านี้มีอย่างน้อย 2 รูปแบบ คือ 1.เกิดจากนโยบายของรัฐบาลเอง เช่น ส่งกำลังทหารไปร่วมทำสงครามต่อต้านก่อการร้ายหรือช่วยจับผู้ก่อการร้ายส่งให้ชาติอื่น และ 2.เกิดจากผู้ก่อการร้ายเข้ามากระทำต่อผลประโยชน์ของชาติเป้าหมายในประเทศไทย เช่น ไอเอสอาจโจมตีสถานทูตหรือแหล่งธุรกิจหรือแหล่งรวมของนักท่องเที่ยวตะวันตกในประเทศไทย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวยืนยันว่า สถานการณ์ปัจจุบันในแง่ปัญหาของตัวเราเองที่มีกับกลุ่มก่อการร้ายยังไม่ถึงขั้นตกเป็นเป้าโจมตีโดยตรง แต่โอกาสที่ผลประโยชน์ของชาติตะวันตก จีน หรือแม้แต่รัสเซียในบ้านเรามีความเสี่ยงตกเป็นเป้าหมาย ในแง่นี้มีสูงกว่า ขึ้นอยู่กับความเข้มหรือความหละหลวมของมาตรการ รปภ. และจำนวนผลประโยชน์ โดยเฉพาะปริมาณนักท่องเที่ยวของชาติเหล่านั้นในบ้านเรา
ส่วนความเสี่ยงที่อาจเกิดจากปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 10 ปี มั่นใจว่ายังไม่มีความเสี่ยงในแง่นี้มาก เพราะกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีเป้าหมายแบ่งแยกดินแดน จึงไม่ต้องการให้กลุ่มถูกขึ้นบัญชีเป็นกลุ่มก่อการร้ายสากล
ขณะที่ปฏิบัติการของไอเอส หรือกลุ่มรัฐอิสลาม ได้ก้าวข้ามและแตกต่างในการก่อการร้าย โดยมูลเหตุจูงใจทางศาสนาค่อนข้างมาก ฉะนั้นจึงแตกต่างจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในภาคใต้ตอนล่างของไทย
--------------------
หวั่นกระแสอคติเชื้อชาติ-ศาสนา

ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า การก่อการร้ายในปารีสจะเป็นการเปิดทางให้ชาติตะวันตกสร้างความชอบธรรมในการใช้ปฏิบัติการทางการทหารเพิ่มเติมในพื้นที่ซีเรียและอิรัก ที่อยู่ภายใต้การยึดครองของ ไอซิส นอกจากนี้จะเกิดโรคอิสลามโมโฟเบีย (Islamophobia) โรคหวาดระแวงคนอิสลาม นำไปสู่อิสลามโมโฟบิก เฮตไครม์ (Islamophobic Hate Crimes) การก่ออาชญากรรมต่อชาวมุสลิมผู้รักสันติจากความเกลียดชัง ทุกๆ ครั้งที่มีเหตุการณ์น่าสลดเช่นนี้ก็จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและสันติสุขของสังคม
“ฉะนั้นผู้มีอำนาจรัฐในทุกประเทศต้องบังคบใช้กฎหมายและรักษาความสงบเรียบร้อยด้วยการสร้างกระแสแห่งความรักความเข้าใจซึ่งกันและกัน แทนที่ความเกลียดชังและหวาดระแวง ด้วยการเคารพในสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาคเท่าเทียมบนความแตกต่างหลากหลายทางด้านอารยธรรมและความศรัทธาความเชื่อ หากเกิดกระแสความหวาดกลัว การแบ่งแยกทางสังคม เกิดกระแสอคติระหว่างเชื้อชาติและศาสนา เท่ากับขบวนการก่อการร้ายชนะแล้ว เราต้องช่วยกันไม่ให้เกิดกระแสแตกแยกเหล่านี้”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น