วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ถล่มปารีส...ฝันร้ายของหน่วยข่าวกรอง

ถล่มปารีส...ฝันร้ายของหน่วยข่าวกรอง

ความแยบยล ทรัพยากร และขอบข่ายการโจมตีใจกลางมหานครปารีส ประเทศฝรั่งเศส 6 จุดไล่เลี่ยกันเมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน ตอกย้ำอีกครั้งถึงปัญหาท้าทายในการสกัดกั้นความรุนแรงจากกระแสสุดโต่ง แม้หลายเดือนมานี้รัฐบาลยุโรปพยายามหลากหลายวิถีทางเพื่อป้องกัน โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่เผชิญก่อการร้ายหลายระลอกในปีนี้ ได้ทุ่มงบประมาณหลายร้อยล้านยูโร เพื่อเพิ่มความรัดกุมในระบบข่าวกรอง แต่ฝ่ายตรงข้ามยังสามารถยังยกระดับการโจมตีอย่างน่าสะพรึงกลัวขึ้นได้อีก ตอกย้ำจุดอ่อนของทุกยุทธศาสตร์ที่นำมาใช้ในโลกยุคที่กระแสสุดโต่งแผ่ไปทั่ว
แม้ยังไม่มีการชี้ชัดว่าเป็นการกระทำของกลุ่มใด แต่ด้วยลักษณะของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลุ่มที่ก่อเหตุคือกลุ่มที่วางแผนและเตรียมการรัดกุม 4 เดือนหลังเกิดเหตุสังหารหมู่ที่กองบรรณาธิการนิตยสารแนวเสียดสี “ชาร์ลี เอบโด” ตามด้วยการโจมตีร้านของชำชาวยิวในปารีสเมื่อเดือนมกราคม รัฐสภาฝรั่งเศสผ่านกฎหมายให้อำนาจรัฐสอดแนมอย่างกว้างขวางเมื่อเดือนพฤษภาคม ส่งทหารและตำรวจลาดตระเวนถามถนนสายต่างๆ ในเมืองหลวง
นอกจากนี้ ตำรวจ หน่วยต่อต้านก่อการร้าย และหน่วยกู้ภัย มีการซักซ้อมกันเป็นประจำเพื่อรับมือกับการก่อการร้ายครั้งใหม่ โดยอาศัยโมเดลการโจมตีเมืองมุมไบของอินเดียเมื่อปี 2551 ที่ผู้ก่อการร้ายเพียง 10 คน ทำให้เมืองทั้งเมืองเป็นอัมพาตในเวลาไม่กี่นาที หลังบุกโจมตี 5 เป้าหมายพร้อมกัน สังหารหมู่เหยื่อเคราะห์ร้ายราว 170 คน
การลงมือโจมตีพร้อมกันต่อหลายเป้าหมายโดยมือปืนและมือระเบิดพลีชีพที่ผนึกกำลังกัน จึงเป็นฝันร้ายโดยแท้ของหน่วยข่าวกรอง กระนั้น การโจมตีที่มีคำพ่วงว่า “อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และย้ำมาตลอดว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกัน
อีฟ โทรติญง จากสำนักงานข่าวกรองดีจีเอสอี ซึ่งเป็นหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายฝรั่งเศส กล่าวว่า พวกคนร้ายที่มีทั้งความมุ่งมั่นแน่วแน่บวกกับความพร้อมที่จะตาย ได้ศึกษาเป้าหมายการโจมตีอย่างละเอียดและมีข้อมูลที่ดีก่อนลงมือ พวกเขาสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมาก นักรบสุดโต่งที่สำเร็จการฝึกและนักรบมากประสบการณ์เพิ่มขึ้นทุกวัน การเผชิญกับคนเหล่านี้ หน่วยงานความมั่นคงยากจะรับมือ
ที่ผ่านมา ฝรั่งเศสสกัดแผนก่อเหตุร้ายได้เป็นระยะ รวมถึงเหตุการณ์โชคช่วยเมื่อเดือนสิงหาคม ทหารอเมริกัน 2 คน ที่ไปเที่ยวฝรั่งเศสกับเพื่อนอีกคน ช่วยกันคว่ำมือปืนที่พยายามยิงกราดผู้โดยสารบนรถไฟความเร็วสูงจากอัมสเตอร์ดัมไปปารีสได้ก่อนเกิดเหตุนองเลือด แต่โชคดีของทางการฝรั่งเศสมีไม่มาก เพราะบรรดานักรบที่กลับจากฝึกปรือสนามจริง กลับมาจากตะวันออกจำนวนมาก และยากจะจับตาดูได้อย่างทั่วถึง
โทรตีญง ผู้เชี่ยวชาญต่อต้านก่อการร้ายฝรั่งเศส กล่าวว่า กลุ่มเสี่ยงมากสุดคือ ชายหนุ่มที่กลับจากสมรภูมิ เช่น ในซีเรีย ลิเบีย หรือเยเมน ก่อนมาหาอาวุธในฝรั่งเศสและลงมือปฏิบัติการ และไม่ว่าจะวางแผนรับมืออย่างไร ก็มักจะมีเรื่องที่สร้างความประหลาดใจได้เสมอ
--------------------
ย้อนรอยก่อการร้ายครั้งใหญ่ในยุโรป
แม้ยุโรปได้ชื่อว่าค่อนข้างปลอดภัยเมื่อเทียบกับหลายภูมิภาคของโลก แต่ในช่วงหลายสิบปีมานี้เผชิญการโจมตีขนานใหญ่หลายครั้งหลายหน ทั้งที่มีปมเหตุมาจากการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ปัญหาการเมืองภายใน และจากกลุ่มสุดโต่งในประเทศ แต่การโจมตีหลายเป้าหมายที่กรุงปารีส ถือเป็นเหตุโจมตีที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในยุโรป นับจากเหตุระเบิดรถไฟโดยสารในกรุงมาดริด ประเทศสเปน เมื่อมีนาคม 2547
7 - 9 มกราคม 2558 - ถล่มสื่อในปารีส : มือปืน 2 คน บุกสำนักงานนิตยสารชาร์ลี เอบโด สังหารหมู่นักวาดการ์ตูนและนักข่าว 12 คน ตำรวจ 2 อีกคน
22 กรกฎาคม 2554 - สังหารหมู่ 77 ศพในนอร์เวย์ : นายอันเดอร์ส เบห์ริง เบรวิค ชาวนอรเวย์ผู้มีแนวคิดขวาจัดสุดโต่ง วางระเบิดโจมตีหน้าอาคารที่ทำการรัฐบาลในนครหลวงออสโล เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 8 คน ก่อนลงเรือไปยิงกราดที่ค่ายยุวชนของพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลนอร์เวย์เวลานั้น ที่เกาะอูโทยา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอีก 69 คน ส่วนมากเป็นวัยรุ่น นายเบรวิคอยู่ระหว่างรับโทษจำคุก 21 ปี และอาจขยายเวลาคุมขังต่อหากเห็นว่าเป็นภัยต่อสังคม
7 กรกฎาคม 2548 - กรกฎาทมิฬของอังกฤษ : มือระเบิด 4 คนที่ได้แรงบันดาลใจจากอัล-ไกดา ประสานการโจมตีแบบพลีชีพในชั่วโมงเร่งด่วน ที่สถานีรถไฟใต้ดิน 3 แห่ง และรถโดยสารอีกหนึ่งคันในกรุงลอนดอน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 56 คน บาดเจ็บอีก 700 คน นับเป็นการก่อการร้ายครั้งร้ายแรงที่สุดบนเกาะอังกฤษ สองสัปดาห์หลังจากนั้นมีความพยายามก่อเหตุเลียนแบบอีกหลายครั้ง แต่ทั้งหมดล้มเหลว มีชาย 4 คน ถูกตัดสินมีความผิดในฐานะผู้วางแผน
11 มีนาคม 2547 - 9/11 ของสเปน : รถไฟโดยสาร 4 ขบวนที่มุ่งหน้าเข้าสถานีอาโตชา ของกรุงมาดริด ถูกถล่มด้วยระเบิดราว 12 ลูก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 191 คน บาดเจ็บอีก 2,000 คน กลายเป็นการก่อการร้ายนองเลือดที่สุดของสเปน และร้ายแรงที่สุดในยุโรปนับจากการวางระเบิดเครื่องบินโดยสารเหนือเมืองล็อคเคอร์บีในสกอตแลนด์ในปี 2531
ต่อมากลุ่มคนร้ายอ้างว่าลงมือก่อเหตุในนามของอัล-ไกดา เพื่อล้างแค้นที่สเปนเข้าไปมีส่วนร่วมกับสหรัฐ รุกรานอิรัก ผู้ต้องสงสัยที่เชื่อว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ก่อเหตุและวางแผน จุดระเบิดปลิดชีวิตตนเองที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งใกล้กรุงมาดริด เมื่อ 3 เมษายนปีเดียวกัน
15 สิงหาคม 2541 - เหตุลอบวางระเบิดรถยนต์ในเมืองโอมาห์ เมืองเล็กๆ ทางเหนือของไอร์แลนด์เหนือ มีผู้เสียชีวิต 29 คน บาดเจ็บอีก 220 คน นับเป็นการโจมตีคร่าชีวิตเหยื่อมากที่สุดในความขัดแย้ง 4 ทศวรรษของไอร์แลนด์เหนือ สมาชิกสายหนึ่งของกองทัพกู้ชาติไอริช (ไออาร์เอ) อ้างเป็นคนลงมือ ในเวลานั้น เหตุระเบิดที่โอมาห์กลายเป็นบททดสอบของการทำข้อตกลงสันติภาพเปราะบางตามข้อตกลงกู๊ดฟรายเดย์ ที่อังกฤษกับไอร์แลนด์เหนือเพิ่งลงนาม 4 เดือนก่อนหน้า
21 ธันวาคม 2531 - เครื่องบินโดยสารแพน แอม เที่ยวบิน 103 ถูกวางระเบิด ขณะเดินทางจากกรุงลอนดอนไปนครนิวยอร์ก คร่าชีวิตผู้โดยสาร-ลูกเรือ 259 คน กับคนบนพื้นล่าง 11 คน ที่เมืองล็อคเคอร์บี ของสกอตแลนด์ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของลิเบียถูกตัดสินมีความผิดในเหตุโจมตีครั้งนี้
19 มิถุนายน 2530 - สเปน : “เอตา” กลุ่มแบ่งแยกดินแดนแคว้นบาสค์ วางระเบิดรถยนต์ในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าในนครบาร์เซโลนา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 21 คน บาดเจ็บ 45 คน
2 สิงหาคม 2524 - อิตาลี : วางระเบิดในห้องผู้โดยสารของสถานีรถไฟเมืองโบโลญญา เสียชีวิต 85 คน บาดเจ็บอีก 200 คน เป็นเหตุโจมตีนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิตาลี สมาชิกกลุ่มก่อการร้ายขวาจัดสุดโต่งถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่จนถึงปัจจุบันไม่เคยหาตัวผู้บงการได้
--------------------
(หมายเหตุ : ที่มาภาพ : AFP)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น