ดร.สุทิน ลี้ปิยะชาติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 และตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ที่ทรงครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ทรงครองแผ่นดินนี้โดยธรรม ตามหลักทศพิธราชธรรมเพื่อประโยชน์สุขของราษฎรเสมอมา
และได้พระราชทานพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติตนของผู้ปกครอง ตลอดจนศีลธรรมที่จำเป็นเพื่อสร้างสันติสุขและความมั่นคงในสังคมไทยแก่พสกนิกรและคณะบุคคลเสมอมา
ทศพิธราชธรรม คือ จริยวัตร 10 ประการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประพฤติเป็นหลักธรรมประจําพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจําตนของผู้ปกครองบ้านเมือง ให้มีความเป็นไปโดยธรรม และยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชนและประเทศชาติ ทศพิธราชธรรม ประกอบด้วย 10 ข้อ ได้แก่
ข้อ 1 ทาน หมายถึง การให้การเสียสละ นอกจากเสียสละทรัพย์สิ่งของแล้ว ยังหมายถึงการให้น้ำใจแก่ผู้อื่นด้วย
ข้อ 2 ศีล หมายถึง ความประพฤติที่ดีงาม ทั้งกาย วาจา และใจ ให้ปราศจากโทษทั้งในการปกครอง อันได้แก่ กฎหมายและนิติราชประเพณีและในทางศาสนา
ข้อ 3 ปริจจาคะ หมายถึง การเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อความสุขส่วนรวม
ข้อ 4 อาชชวะ หมายถึง ความซื่อตรงในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ดํารงอย่ในสัตย์สุจริต
ข้อ 5 มัททวะ หมายถึง การมีอัธยาศัยอ่อนโยน เคารพในเหตุผล ที่ควรมีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโส และอ่อนโยนต่อบุคคลที่เสมอกันและต่ำกว่า
ข้อ 6 ตปะ หมายถึง มีความอุตสาหะในการปฏิบัติงาน โดย ปราศจากความเกียจคร้าน
ข้อ 7 อักโกธะ หมายถึง การระงับความโกรธ ไม่มุ่งร้ายผู้อื่น แม้จะลงโทษผู้ทําผิด ก็ทําตามเหตุผล
ข้อ 8 อวิหิงสา หมายถึง การไม่เบียดเบียนหรือบีบคั้น ไม่ก่อทุกข์หรือเบียดเบียนผู้อื่น
ข้อ 9 ขันติ หมายถึง การมีความอดทนต่อสิ่งทั้งปวง รักษาอาการ กาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย
ข้อ 10 อวิโรธนะ หมายถึง ความหนักแน่น ถือความถูกต้อง เที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคําพูด อารมณ์หรือลาภสักการะใด ๆ
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่เปรียบมิได้ กระผมขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท จากพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับการบริหารประเทศและการปฏิบัติตนของผู้ปกครอง ดังนี้
พระราชดำรัสพระราชทานในการเสด็จออกมหาสมาคม เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2502 ความตอนหนึ่งว่า
“…ขอให้ทุกฝ่ายจงสมัครสมาน กลมเกลียวกันบำเพ็ญ กรณียกิจเพื่อความเจริญ รุ่งเรืองวัฒนาถาวรของ ประเทศชาติและเพื่อ ความสมบูรณ์พูนสุข ได้บังเกิดแก่อาณาประชาราษฎร์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป…”
พระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2512 ความตอนหนึ่งว่า
“…ท่านผู้ใหญ่ไปตรวจราชการที่ไหน ถ้าไปถึงไม่มีใครเลี้ยงก็โกรธ แต่ถ้าไปถึงแล้วเลี้ยงก็พอใจ แต่ว่าเงินที่เลี้ยง… เอามาจากไหน เมื่อไม่มีเงินรับรองของส่วนภูมิภาคก็ต้องไปเรี่ยไรกัน ไปเรี่ยไรจากข้าราชการชั้นผู้น้อย หรือ ไม่อย่างนั้นก็ไปขูดรีดจากพ่อค้า แล้วพ่อค้าก็ต้องถือว่า เป็นการลงทุน มันก็กลายเป็นคอรัปชั่นไป…”
พระบรมราโชวาท พระราชทานในพิธีเปิดงานชุมชุมลูกเสือแห่งชาติ จังหวัดชลบุรี ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2512 ความตอนหนึ่งว่า
“…ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คน ทุกคนเป็นดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้…”
พระบรมราโชวาท พระราชทานในโอกาสพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2513 ความตอนหนึ่งว่า
“…ถ้าประชาชนไม่มีที่พึ่ง ไม่มีผู้ใดเอาใจใส่ พอพึ่งทางราชการไม่ได้ ก็ต้องหันไปพึ่งผู้กว้างขวาง ผู้มีอิทธิพล จึงเป็นหน้าที่ของทางราชการที่จะปฏิบัติงาน เพื่อให้การบริการของราชการได้เข้าถึงประชาชน โดยทั่วถึงและทำด้วยความสุจริต…”
พระราชดำรัสพระราชทานในโอกาสที่คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2523 ความตอนหนึ่งว่า
“…รัฐบาล เป็นผู้ที่ต้องปฏิบัติงานสำคัญ สำหรับความอยู่เย็นเป็นสุขของชาติบ้านเมือง จึงต้องบริหารให้ดีให้สอดคล้องกัน ถ้าผู้ที่บริหารประเทศปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์ด้วย ความอดทนก็นำส่วนรวม ไปสู่ทางที่ดีได้…”
พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2524 ความตอนหนึ่งว่า
“…ประโยชน์หรือการสร้างสรรค์ในทางที่ดีนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการลงมือทำ หมายความว่า จะต้องนำความรู้ความสามารถที่มีอยู่นั้นมาใช้งาน ลงมือใช้เมื่อไหร่ เพียงใด ประโยชน์ก็เกิดเมื่อนั้น เพียงนั้น เมื่อยังไม่ลงมือทำประโยชน์ก็ยังไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จะมีความรู้ ความสามารถมากมายเพียงใด ถ้าไม่นำใช้ก็ ปราศจากประโยชน์…”
พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่คณะรัฐมนตรีที่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2529 ความตอนหนึ่งว่า
“…รัฐบาลนั้น เป็นสถาบันหนึ่งในสถาบันสำคัญของประเทศ จึง ต้องปฏิบัติหน้าที่ โดยถือว่าชาติ บ้านเมืองเป็นหมายสำคัญ และความอยู่ดีกินดีของประชาชนเป็นสิ่งที่ปรารถนาด้วย การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความ ตั้งใจจริง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และขยันหมั่นเพียร…”
พระราชดำรัสพระราชทานแก่ประชาชนในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2538 ความตอนหนึ่งว่า
“…ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใดอยู่ ก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงด้วยความรู้ความสามารถด้วยความจริงใจ พร้อมใจ และความเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน ผลการปฏิบัติของแต่ละคน แต่ละฝ่าย จักได้ ประกอบ และส่งเสริมกัน เป็นความมั่นคงวัฒนา ของ ประเทศชาติ…”
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ เสียสละ ทรงงานเพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนชาวไทย โดยไม่ทรงเหน็ดเหนื่อย
สมดังที่นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติได้กล่าวสดุดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ เมื่อองค์การสหประชาชาติทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549 ความตอนหนึ่งว่า
“…พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์เอื้อไปยังบรรดาผู้ที่ยากจนที่สุด และเปราะบางที่สุดในสังคมไทย
ทรงรับฟังปัญหาของพวกเขาเหล่านั้น และให้ความช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นให้สามารถยืนหยัดดำรงชีวิตของตนเองต่อไปได้ด้วยกำลังของตัวเอง…
โครงการเพื่อการพัฒนาชนบทต่างๆ ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังประโยชน์ให้กับประชาชนนับเป็นล้านๆ ทั่วทั้งสังคมไทย…”
…………………………………………
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น