T-33 เครื่องบินไอพ่นแบบแรกของกองทัพอากาศไทย
T-33 T-BIRD เป็นเครื่องบินเจ๊ตฝึกแบบแรกของกองทัพอากาศ กองทัพเรือ และนาวิกโยธิน สหรัฐฯ T-33 บินเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1948 กองทัพอากาศไทยได้รับ ที-33 รุ่นแรกเมื่อ ปี ค.ศ. 1955 และเป็นเครื่องบินเจ๊ตแบบแรกของกองทัพอากาศไทย
เครื่องบินฝึกไอพ่นแบบ T-33 สร้างโดยบริษัทล๊อคฮีท (Lockheed) ผู้สร้างเครื่องบินขับไล่ไอพ่นแบบ F-16 ในปัจจุบัน โดย T-33 ได้ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากเครื่องบินขับไล่ไอพ่น F-80 ที่ใช้ในช่วงสงครามเกาหลีในช่วงแรก โดยได้กำหนดชื่อสัญลักษณ์ของกองทัพอากาศสหรัฐฯว่า เป็นเครื่องบินแบบ TF-80C ต่อมาจัดเข้าประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯโดยกำหนดชื่อเป็น TV-2
กองทัพอากาศไทยได้รับ T-33A รุ่นแรกจากสหรัฐฯตามความช่วยทางทหารเพื่อปรับปรุงกองทัพ โดยกองทัพอากาศสหรัฐฯได้ทำการฝึกนักบินไทยตามความช่วยเหลือทางทหารที่ฐานทัพอากาศ โยโกต้า ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประกอบด้วย พล.อ.ท.ทวี จุลละทรัพย์ พล.อ.ต.บุญชู จันทรุเบกษา และ พล.อ.ต.มานพ สุริยะ ในช่วงปี ๒๔๙๘ โดยที่นักบินทั้ง ๓ ท่าน ซึ่งถือว่าเป็นนักบินไอพ่นรุ่นบุกเบิก ๓ คนแรกของประเทศไทย ที่ไปทำการฝึกบินที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วนำเครื่องเหล่านี้กลับมาเมืองไทย
นายพลอากาศทั้ง ๓ นายที่มียศขณะนั้นท่านได้รับคำสั่งจาก จอมพลอากาศ ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้ไปฝึกเครื่องบินไอพ่นและให้นำเครื่องบินไอพ่นแบบ T-33A กลับมาเมืองไทย ชนิดที่ว่า ก่อนไปนั้นว่ากันว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอเมริกาโรเบิร์ต แม็กนามารา ซึ่งเคยดูถูกดูแคลนนักบินไทยว่า “แค่เครื่องบินขับไล่แบบสปีตไฟร์ท นักบินไทยก็นำไปตก แล้วจะไปบินอะไรได้กับเครื่องไอพ่น”
พลอากาศโท ทวี จุลละทรัพย์ นักบินขับไล่ฝีมือเยี่ยมอดีตผู้บังคับฝูงบินขับไล่ฮายาบูซ่า เครื่องบินขับไล่ที่สุดยอดที่สุดของไทยและญี่ปุ่นในภูมิภาคแทบนี้ เป็นหัวหน้าชุดเดินทางไปทำการฝึกบินและรับเครื่องบินชุดนี้ ท่านก็ตอบเจ้าหน้าที่อเมริกันที่ชอบดูถูกดูแคลนคนเอเชียไปว่า “สมัยก่อนที่ญี่ปุ่นจะโจมตีเพิลฮาเบอร์นั้น ทางหน่วยสืบราชการลับของอเมริกาได้ทราบว่านักบินญี่ปุ่นไม่มีความสามารถในการบินเทียบเท่านักบินอเมริกัน เพราะชาวญี่ปุ่นส่วมมากสวมแว่นตา ซึ่งส่งผลให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอย่างไรก็รู้อยู่แล้ว” เจ้าหน้าที่อเมริกันจึงยอมและให้สัญญาว่า ถ้าปล่อยให้บินเดี่ยวได้ ก็จะปล่อยให้นำเครื่องบิน T-33A กลับเมืองไทยได้เลย
โดยเฉพาะนายพลทั้ง 3 ท่าน ที่เคยเป็นนักบินขับไล่ฮายาบูซ่า และ โอตะ ไล่ยิงเครื่องบินอเมริกันเหนือน่านฟ้าไทยมาแล้ว เพียงแค่ 3 สัปดาห์ ท่านทั้ง 3 ก็ปล่อยเดี่ยวและพร้อมที่จะนำเครื่องบิน 3 เครื่องแรกกลับสู่ประเทศไทย
วันที่ ๒๗ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ นายพลทั้ง ๓ และนักบินอเมริกันก็นำเครื่องบินไอพ่นแบบ T-33A สามเครื่องแรก มาลงยังสนามบินดอนเมือง โดยมีจอมพลอากาศ ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี ผู้บัญชาการทหารอากาศ สมัยนั้นและอดีตเจ้ากรมอากาศยาน ผู้ที่ชาวเวหาถือว่าเป็นบุพการีของกองทัพอากาศ คือ พลอากาศโท พระยาเฉลิมอากาศ ที่ไปคอยรับและท่านได้กล่าวอย่างยินดีว่า “ผมขอแสดงความยินดีและปลื้มใจในพวกคุณมาก คุณทวีฯ ผมได้เคยนำเครื่องบินใบพัดเข้ามา แต่บัดนี้พวกคุณได้นำเครื่องบินเจ็ตเข้ามา นับว่าเป็นก้าวหนึ่งที่กองทัพอากาศของเราได้ก้าวไปข้างหน้า ไปสู่อนาคตอันจะยิ่งก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง”
กองทัพอากาศไทยได้รับมอบ T-33A ชุดแรก ๓ เครื่อง ในเดือนกรกฏาคม ๒๔๙๘ ถัดมาไม่กี่เดือน กองทัพอากาศไทยก็ได้รับมอบ T-33A เพิ่มอีก ๖ เครื่อง ปี ๒๔๙๙ ได้รับเพิ่มอีก ๗ เครื่อง จากกองทัพอากาศสหรัฐฯ แบบให้เปล่า ตามโครงการช่วยเหลือทางทหารและทดแทน บ.T-33A ที่ต้องจำหน่ายเพราะนักบินไทยต้องฝึกกันอย่างหนัก เพื่อเตรียมรับเครื่องบินเจ็ตขับไล่แบบ F-84G ในปี ๒๕๐๗-๒๕๑๓ กองทัพอากาศสหรัฐฯได้มอบ RT-33A เครื่องบินลาดตระเวนถ่ายภาพทางอากาศที่นั่งเดี่ยว ให้กองทัพอากาศไทย ตามความช่วยเหลืออีกจำนวนหนึ่งตามระเบียบเดิม ที่ประเทศซึ่งได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐฯได้ตกลงกันไว้ว่า หากเครื่องบินและอาวุธยุทธโธปกรณ์ต่างๆ ที่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ เมื่อปลดประจำการแล้ว จะต้องส่งคืนกองทัพสหรัฐฯหรือจะต้องทำลายทิ้ง
ซึ่งจะพบได้ว่าในภายหลังเครื่องบินส่วนใหญ่จะถูกทำลายทิ้งเพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้าม ตามยุคสงครามเย็น (ก่อนปี 1989) แต่หากยังพอใช้อยู่ได้บ้าง ก็จะส่งมอบคืนให้สหรัฐฯและสหรัฐฯก็จะมอบให้กับประเทศอื่นๆอีกครั้ง
ตัวอย่างการโอนมอบเครื่องบินและอาวุธยุทธโธปกรณ์ต่างๆ ให้กับประเทศอื่นของสหรัฐอเมริกา เช่น เครื่องบินแบบ F-8F ของกองทัพอากาศเวียตนามใต้ จำนวนราวๆ ๒๐ เครื่อง โอนให้กองทัพอากาศไทยเพื่อใช้เป็นอะไหล่ให้กับ F-8F BEARCAT ที่กองทัพอากาศไทยมีมากกว่า ๑๐๐ เครื่อง เมื่อได้รับ T-28 มาทดแทน
ปี ๒๕๒๗ กองทัพอากาศไทยปลดประจำการ T-28D ราวๆ ๒๐ เครื่อง ส่วนหนึ่งขอไว้ตั้งโชว์ตามกองบินต่างๆ ซึ่งภายหลังมูลนิธิอนุรักษ์อากาศยานไทยได้บูรณะทำให้กลับมาบินได้อีก ๖ เครื่อง ที่เหลือต้องคืนให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ และภายหลังกองทัพอากาศสหรัฐฯ ก็มอบ T-28D เหล่านี้ให้กองทัพอากาศฟิลิปินส์ในเวลาต่อมา
ที่กล่าวมานี้ถ้าสังเกตุจะพบว่า T-33A ที่พบเห็นในประเทศไทยขณะนี้จะมีไม่กี่เครื่องที่เป็นเครื่องบินในรุ่น ปี ๒๔๙๘-๒๕๑๓ โดยดูได้จากช่วงหลังๆเลขที่ขีดเขียนไว้ใต้ชุดพวงหางทั้ง 2 ข้างที่ลงท้ายว่า -13 นั้นหมายความว่า เข้าประจำการในปี ๒๕๑๓ ไม่ว่าจะลงท้ายด้วยเลขอะไร เราก็สามารถเทียบกับปี พ.ศ. หรือ ค.ศ. แต่ระยะหลังเราจะเห็น -26 หรือ -31 ก็คือได้จัดซื้อจากกองทัพอากาศฝรั่งเศสจำนวน ๑๒ เครื่องในปี ๒๕๒๖ และจากกองทัพอากาศสหรัฐฯจำนวน ๗ เครื่องในปี ๒๕๓๑ ซึ่งรวมแล้วกองทัพอากาศสหรัฐฯได้มอบ T-33A และ RT-33A ไว้ในประจำการตั้งแต่ ๒๗ กรกฏาคม ๒๔๙๘ จนถึงวันปลดประจำการ ๓๐ กันยายน ๒๕๓๘ รวม ๓๘ เครื่อง จากข้อมูลที่ศึกษาพบว่าเครื่องบินในชุด T-33A ที่เก่าที่สุดไม่ได้อยู่ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘-๒๕๓๘ (๔๐ ปี) แต่ที่เก่าที่สุดคือ RT-33 เครื่องบินลาดตระเวนที่เข้าประจำการในปี ๒๕๑๓-๒๕๓๘ เป็นเวลา ๒๕ ปีที่มีเหลืออยู่ ๓ เครื่องและปลดประจำการไปแล้ว
T-33A เดิมมีฉายาว่า “SHOOTING STAR” ภายหลังเปลี่ยนฉายาใหม่ เพราะฉายาเดิมนั้นเป็นของ F-80 โดยเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า “T-BIRD”
T-33A ได้รับสัญลักษณ์ในกองทัพอากาศไทยว่า “บฝ. ๑๑” RT-33A ได้รับสัญลักษณ์ในกองทัพอากาศไทยว่า “บตฝ. ๑๑”
โดยทั้งหมดทั้งหมดเข้าประจำในฝูงบินฝึกขับไล่ที่ ๑๐ โดยมี น.ต. บัญชา สุขานุศาสตร์ เป็นผู้บังคับฝูง โดยประจำการร่วมกับฝูงบินฝึกขับไล่ที่ ๑๒ และ ที่๑๓ และประจำการอยู่ในกองบิน ๑ ซึ่งแต่เดิมนั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ต่อมาในปี ๒๕๐๔ ฝูงบิน ๑๐ เปลี่ยนชื่อเป็นฝูงบิน ๑๑ โดยมีภารกิจฝึกนักบินไอพ่นให้พร้อมบินกับเครื่องบินขับไล่ไอพ่น
ปลายปี ๒๕๒๒ กองทัพอากาศจำเป็นต้องย้ายกองบิน ๑ จากฝั่งท่าอากาศยานดอนเมือง ไปอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมาแทน ซึ่งสนามบินที่อยู่จังหวัดนครราชสีมาเคยเป็นสนามบินที่กองทัพอากาศสหรัฐฯสร้างไว้คือ กองบินขับไล่ที่ 388 ที่สหรัฐฯถอนกำลังทหารออกจากประเทศไทยหมดแล้ว
ในเดือนตุลาคม ๒๕๒๒ ฝูงบิน ๑๐๑ ถอนตัวเป็นฝูงสุดท้าย จากดอนเมืองไปโคราชจนกระทั่งปี ๒๕๒๘ ฝูงบิน ๑๐๑ ก็ย้าย T-33A และ RT-33 จากกองบิน ๑ จากโคราชไปยังที่ตั้งใหม่ คือ กองบิน ๕๖ ฝูง ๕๖๑ ฐานทัพอากาศหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ปฏิบัติหน้าที่ฝึกบินและลาดตระเวนพิทักษ์ทรัพยากรทางทะเล ทางภาคใต้ของไทย จนกระทั่งปี ๒๕๓๘ ก็ปลดประจำการไปในที่สุด.
เครื่องบิน T – 33 เป็นเครื่องบินฝึกแบบไอพ่น ๑ เครื่องยนต์ ลำตัวกลมเรียว หัวแหลม ท่ออากาศเข้าอยู่ข้างลำตัวทั้งสองด้าน ปีกติดใต้ลำตัวเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้างหลามตัด แพนหางระดับติดที่โคนแพนหางดิ่ง มีลักษณะเช่นเดียวกับปีก แพนหางดิ่งเป็นรุปสามเหลี่ยมปลายมนกลม ฐานพับเก็บได้หมด
ประเภท เครื่องบินฝึกไอพ่น ๒ ที่นั่งเรียงกัน
ผู้สร้าง บริษัทล็อกฮีด แอร์คราฟท์ (สหรัฐอเมริกา)
เครื่องยนต์ เทอร์โบเจ๊ตอัลลิสัน เจ-33-เอ-35 ให้แรงขับสถิต 2,360 กิโลกรัม ไม่มีสันดาปท้าย ๑ เครื่อง
กางปีก ๑๑.๘๕ เมตร
สูง ๓.๕๕ เมตร
พื้นที่ปีก ๒๒.๐๒ ตารางเมตร
น้ำหนักเปล่า ๓,๘๑๐ กิโลกรัม
น้ำหนักวิ่งขึ้น ๕,๔๓๒ กิโลกรัม
อัตราเร็วขั้นสูง ๘๗๔ กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ระยะสูง ๗,๖๒๐ เมตร
อัตราเร็วเดินทาง ๖๔๔ กิโลเมตร/ชั่วโมง
อัตราไต่ถึงระยะสูง ๗,๖๒๐ เมตร ๖ นาที ๓๐ วินาที
เพดานบินใช้งาน ๑๔,๔๘๐ เมตร
สูง ๓.๕๕ เมตร
พื้นที่ปีก ๒๒.๐๒ ตารางเมตร
น้ำหนักเปล่า ๓,๘๑๐ กิโลกรัม
น้ำหนักวิ่งขึ้น ๕,๔๓๒ กิโลกรัม
อัตราเร็วขั้นสูง ๘๗๔ กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ระยะสูง ๗,๖๒๐ เมตร
อัตราเร็วเดินทาง ๖๔๔ กิโลเมตร/ชั่วโมง
อัตราไต่ถึงระยะสูง ๗,๖๒๐ เมตร ๖ นาที ๓๐ วินาที
เพดานบินใช้งาน ๑๔,๔๘๐ เมตร
บินทน ๓.๑๒ ชั่วโมง
พิสัยบิน ๒,๐๙๓ กิโลเมตร
อาวุธ ปืนกลอากาศ ขนาด ๐.๕๐ นิ้ว ๒ กระบอก
พิสัยบิน ๒,๐๙๓ กิโลเมตร
อาวุธ ปืนกลอากาศ ขนาด ๐.๕๐ นิ้ว ๒ กระบอก
ขอบคุณที่มาของภาพและข้อมูล
คุณเทียมทรนง อัศวรักษ์ (หลานตาพลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์)
FB พลอากาศเอก ทวี จุลละทรัพย์ – ประวัติ ผลงาน ACM. Dawee Chullasapya
http://www.encyclopediathai.org/aircraft/Trainer/t33/t33.htm
http://hobby-model-thailand.blogspot.com/2011/11/t-33-t-33-t-33-t-33-lockheed-f-16-t-33.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น