ศูนย์ข่าวภูมิภาค - เปิดภาพยุคสงครามเวียดนามเหนือ เครื่องบิน “B-52” ที่สนามบินอู่ตะเภา ตำนานเมียเช่ากับทหารจี.ไอ. และเรื่องเด็กลูกครึ่งผมสีทองนัยน์ตาสีฟ้า เกิดจากแม่ไทยกับพ่ออเมริกัน
ย้อนยุคสงครามเวียดนามเปิดภาพข่าว “B-52” สนามบินอู่ตะเภานี้ ได้รับเกียรติจากนายประธาน มหาสุวรรณ เพื่อนผู้สื่อข่าวร่วมสำนัก “เดลินิวส์” ในอดีต และอดีตช่างภาพสำนักข่าว เอ.พี. ซึ่งในปี พ.ศ.2517 ไปใช้ชีวิตทำข่าวถ่ายภาพตะลุยช่วยชาวบ้านชาวทะเลภาคใต้ ทำสกู๊ปข่าวแร่ “เทมโก้” ที่ จ.ภูเก็ต จ.พังงา นานเกือบเดือน เสี่ยงอันตรายด้วยกัน ประธานนั้นเป็น 1 ใน 5 ผู้สื่อข่าวสงครามที่ไปฝึกโดดร่มที่ศูนย์สงครามพิเศษลพบุรี เข้าร่วมกับมูลนิธิการศึกษามิตรภาพไทย-อเมริกัน โดดร่มกับทหารอเมริกัน และทหารจาก 3 เหล่าทัพ
|
เพื่อหาเงินสร้างโรงเรียนช่วยเด็กนักเรียนยากจนตามชนบทในพื้นที่สีแดง มีพล.ท.สายหยุด เกิดผล (ยศขณะนั้น) เป็นประธานมูลนิธิฯ ปัจจุบัน มีชีวิตอยู่ 3 คน คือนายประธานกับ นายธีระ นิตยภักดี, นายศิริ ศรวณศิริ อีก 2 คือ นายปรีชา กุลปรีชา (เพื่อนร่วมสำนักเดลินิวส์ในอดีต) กับนายเฉลิมชัย กุลกาญจน์ อดีตช่างภาพทีวี.เสียชีวิตไปแล้ว
ภาพเหล่านี้หาดูได้ยาก ภาพเหล่านี้เมื่อ 40 กว่าปีผ่านไป ยุคเมืองไทยเต็มไปด้วยทหารจี.ไอ.อาจคุ้นต่อสายตาผู้คนที่ทำงานตามฐานบินอเมริกัน พวกเขามีภาพถ่ายกับทหารจี.ไอ.เก็บไว้ระลึกถึงครั้งหนึ่งของชีวิตได้เข้าไปผูกพันด้วย ภาพที่นำมาลงนี้ ศิษย์เก่า “ผู้จัดการรายวัน” สายข่าวอินโดจีนได้ส่งมาร่วมด้วยช่วยกัน ภาพ 1 ภาพ 2 เป็นเครื่องบิน B-52 ขณะบินขึ้นจากสนามบินอู่ตะเภา 6 มิถุนายนปี 2519 กลับไปยังฐานทัพสหรัฐฯ ที่เกาะกวม ภาพ 3 เป็นภาพหลุมระเบิดที่เกิดจากลูกระเบิดซึ่งบี-52 บินไปถล่มในดินแดนประเทศลาว ภาพที่ 4 เป็นชีวิตจริงของนักข่าวสงครามที่เสี่ยงชีวิตหาข่าวถ่ายภาพในสมรภูมิตามรอยต่อชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านทางภาคเหนือช่วงลัทธิคอมมิวนิสต์เบ่งบาน (ภาพ 1 ถึงภาพ 4 เป็นของประธาน)
|
ภาพ 5 เป็นภาพบนยอดเขา “ภูผาที” สมรภูมิรบในสงครามนอกประเทศ ภาพ 6 เป็นเรดาร์ตาทิพย์ที่ จ.อุดร ภาพ 7 ทหารจี.ไอ.ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกหน้าแคมป์เฟรนด์ชิป โคราช (ภาพ 5 ถึงภาพ 7 เป็นของศิษย์เก่า ผจก.รายวัน สายข่าวอินโดจีน) ภาพ 8 เป็นภาพท่าเรือปากอ่าวนครไฮฟอง เวียดนามเหนือ ที่กองทัพทหารสหรัฐฯ ไปวางทุ่นระเบิดปิดล้อมทางเข้าออกไม่ให้เรือรบเวียดนามเหนือเข้าออกขณะทำสงคราม ภาพนี้ผู้บันทึกนี้ถ่ายไว้ครั้งไปเชื่อมสัมพันธไมตรีของกลุ่มผู้สื่อข่าวไทยกับผู้สื่อข่าวเวียดนามปี 2535 นาน 20 ปีแล้ว ภาพ 9 เป็นภาพท่าเรือนครโฮจิมินห์ ซิตี หรือนครไซ่ง่อนถ่ายไว้ปี 2535 สุดท้ายเป็นภาพหน้าหนึ่ง นสพ.บางกอกโพสต์ที่เก็บไว้นาน 23 ปี เป็นข่าวนักศึกษาพม่า “ไฮแจ็กส์” เครื่องบินบังคับนักบินให้บินมาลงจอดที่สนามบินอู่ตะเภา
ย้อนกลับไปสู่อดีตสู่บรรยากาศปี พ.ศ.2509 ถึงปี พ.ศ.2518 พอพลบค่ำทันทีที่แสงไฟฟ้าส่องสว่างจ้าขึ้น รอบนอกสนามบินอู่ตะเภาสองฝั่งริมถนนสุขุมวิทชลบุรี เริ่มแต่โรงแรมสวอนเลค ซึ่งมีสถานบันเทิงครบครัน เรื่อยลงมาถึง กม.10 ก่อนถึงหน้าสนามบิน พวกทหาร จี.ไอ.จะเดินกันขวักไขว่ เพื่อหาความสำราญตามบาร์เหล้าบาร์เบียร์ ตามผับ ตามร้านอาหารดังๆ ที่มีนักร้องนักดนตรีมาบรรเลงดนตรีร้องขับกล่อมให้ความบันเทิง พร้อมมีผู้หญิงให้บริการ
|
“ ฮัลโหล ยู เวลคัมๆ” เสียงทักทายก็ดังขึ้นที่หน้าสถานบันเทิงเริงรมย์ มีเสียงฟุดฟิดฟอไฟ ไอๆ ยูๆ เมื่อสาวไทยคุยกับทหารจี.ไอ.ดังขึ้นในบาร์เหล้าชนแก้วร่วมดื่ม ไม่เฉพาะแต่พวกนักรบจี.ไอ.เท่านั้นที่เดินกันพลุกพล่านจากสถานเริงรมย์แห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่ง ชีวิตยามราตรีที่นั่นยังมีผู้หญิงผู้ชายไทยหลากหลายอาชีพ ทำร้านเสริมสวย ร้านตัดเสื้อผ้า ทำร้านอาหาร ทำงานตามบาร์ตามผับ เป็นพนักงานโรงแรม มีพวกรถรับจ้าง มีผู้คนที่ทำงานในสนามบินอู่ตะเภากับทหารจี.ไอ.กับคนไทยหลากหลายอาชีพปะปนกันไป จากกลางคืนถึงรุ่งสว่างของวันใหม่ กับเสียงคำรามก้องของเครื่องบินชนิดต่างๆ รวมทั้ง B-52 บินขึ้นลงสลับกันเป็นระยะๆ ทั้งเสียงเฮลิคอปเตอร์ที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าเหนือสนามบินตรวจตรารักษาความปลอดภัย
มีรถจี๊ปของพวก “M.P.” - MILITARY POLICE หรือ ส.ห.-สารวัตรทหารอเมริกัน ขับลาดตระเวนกันทั้งคืน พวก “ส.ห.” นี้มีความเด็ดขาดนัก พวกจี.ไอที่ดื่มสุราจนเมามายครองสติไม่ได้ แล้วไปออกกำลังกายพังร้านพังบาร์ ก่อเรื่องเอะอะโวยวาย เมื่อแจ้งเหตุไป สารวัตรทหารอเมริกันจะมาทันที จอดรถรวบตัวจี.ไอ.ขึ้นรถจัดการชนิดไม่มีไว้หน้า ถ้าไม่ขึ้นรถแต่โดยดี จะโดนหวดด้วยกระบอง ถูกจับโยนขึ้นรถ M.P. เอาไปคุมขังสร่างเมาแล้วจึงให้ต้นสังกัดมารับตัว
|
ผู้หญิงไทยผู้ยากจนจากชนบทตามต่างจังหวัด ได้เดินทางมาผจญภัยแสวงหาโชคกันที่นี่ หาเงินส่งไปให้พ่อแม่ญาติพี่น้อง ผู้หญิงเหล่านี้ต้องมามีอาชีพนั่งเป็นเพื่อนดื่ม (ดริงก์) กับทหารจี.ไอ. ได้เงินค่าทิปครั้งละห้าบาทสิบบาทคืนหนึ่งมากกว่าร้อยบาท มีรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละสามพันบาท ขณะที่เงินเดือนข้าราชการ พนักงานบริษัทยังคงอยู่ที่พันกว่าบาท หรือก็สองพันบาทต่อเดือน แล้วผู้หญิงเหล่านี้ที่สุดจะถูก “ออฟ” ไปข้างนอกไปหาความสุขกันต่อตามบ้านเช่าที่มีอยู่ดาษดื่น รอบๆ พื้นที่ตั้งของสถานเริงรมย์นั้นๆ และ “กัญชา” ชนิดที่หั่นละเอียดนำมายำผสมยัดไส้บุหรี่ กลายเป็นของขายดีที่ทหารจี.ไอ.ซื้อมาสูบคลายเครียด ต่อมา พวกสถานเริงรมย์บาร์เหล้า บาร์เบียร์ส่วนหนึ่ง ถูกย้ายไปอยู่เขต จ.ระยอง เป็นหมู่บ้านชื่อ “นิวแลนด์” มีการค้าประเวณีครบครัน โดยอ้างเรื่องรักษาความปลอดภัยให้ทหารจี.ไอ.
ตามฐานทัพอเมริกันในประเทศไทยนี้เอง ทำให้เกิดตำนาน “เมียเช่า” ขึ้น จำได้ว่า นายสุรเทพ ทุมมานนท์ (เสียชีวิตแล้ว) ฉายา “ดร.หงอก” อดีตผู้สื่อข่าวพิเศษร่วมสำนักกระซิบบอก ทั้งเรื่องของบาร์เหล้า เรื่องสถานเริงรมย์ เรื่องชีวิตผู้หญิงนั่งดริงก์ ผู้หญิงบริการนั้น “ดร.หงอก” อยู่ในขั้น “ผู้ชำนาญการ” จึงติดตามลงไปศึกษาชีวิตจริงของผู้หญิงเหล่านั้น ตามย่านสนามบินอู่ตะเภาที่เงินสกุลดอลลาร์สะพัดนัก ได้เรื่อง “เมียเช่า” ผู้เปลี่ยนชีวิตยกฐานะจากผู้หญิงนั่งดริงก์ในสถานเริงรมย์มาเขียนเป็นข่าว “เมียเช่า” นี้เอาใจเก่ง ปรนนิบัติดี
|
ทหารจี.ไอ.จึงหลงเสน่ห์เอามากๆ ได้อยู่กินกันแบบเหมารวมใช้ชีวิตคู่ มีฐานะดีเป็น “คุณนายจี.ไอ.” เพราะสามีทหาร จี.ไอ.จ่ายเงินให้รายเดือน มีบ้านเช่าอยู่ มีตู้เย็นใช้ มีบุหรี่นอกสูบ มีไวน์มีสุราของนอกดื่ม มีสเต๊กเนื้อ สเต๊กหมู ขนมปังทาเนยกิน บางคนโชคดีทหารอเมริกันเป็นโสดเมื่อย้ายกลับประเทศสหรัฐอเมริกา ก็จะแต่งงานแล้วนำไปใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วย แต่ทหารอเมริกันมิได้แต่งงานกับเมียเช่าเท่านั้น ยังมีที่พบรักจริงกับสาวไทยที่มีความรู้ทำงานตามฐานบินทหารสหรัฐด้วย
ชีวิต “เมียเช่า” ผู้พูดภาษาอังกฤษได้แบบ “Snakeๆ Fishๆ”งูๆ ปลาๆ นั้น เมื่อทหารจี.ไอ.คนหนึ่งเสียชีวิตในสงครามเวียดนาม ก็จะหันมาหาสามีจี.ไอ.คนใหม่ ครั้นจี.ไอ.บางคนย้ายไปอยู่ฐานทัพอื่น หรือกลับไปประเทศเกิดแล้ว ก็จะไหว้วานคนเก่งภาษาอังกฤษเขียนจดหมายสื่อสารให้ การเขียนจดหมายให้ “เมียเช่า” นี้ กลายเป็นอาชีพหนึ่งที่ทำเงินให้ผู้เก่งภาษาอังกฤษ แต่ “เมียเช่า” ก็ไม่โชคดีทุกคน บางคนตั้งท้องมีลูกเป็นชายก็มี เป็นหญิงก็มี ที่ใช้ชีวิตกินอยู่กับทหารจี.ไอ.ผิวขาวก็คลอดลูกผมสีทองนัยน์ตาสีฟ้า ส่วนที่กินอยู่กับจี.ไอ.ผิวสี ก็ได้ลูกผมหยิกดำน่ารักน่าชัง
|
ได้เขียนเรื่องชื่อ “ฮัลโหล.. อเมอราเชี่ยน” สะท้อนชีวิตเด็กผมแดงเด็กผมดำที่เกิดจากพ่อจี.ไอ.กับแม่หญิงไทยชาวเอเชียไว้ ครั้งที่มูลนิธิ “เพิร์ล เอส บั๊ค” เชิญไปฟังการแถลงข่าวดูการให้ความช่วยเหลือเด็กๆ ได้ค่าเขียน 150 บาท ค่าภาพอีก 50 บาท ใช้นามปากกา “กรัณฑ์ สมิทธิ์” ได้นายทวี เกตะวันดี “พี่วี” ของนักข่าวรุ่นน้องๆ รีไรต์ต้นฉบับให้ “พี่วี” นี้ในอดีตเป็นนายกสมาคมนักข่าวครั้งอยู่ถนนราชดำเนิน เป็นนักประพันธ์ชื่อดัง เจ้าของนามปากกา “รมย์ รติวัน” มีผลงานหนังสือชื่อ “เสียงแคนและเปียนโน” รวมเล่มกับเรื่องอื่นๆ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น เดือนพฤษภาคม ปี 2515 ขายเล่มละ 6 บาท ซึ่งขายดีมาก
ส่วนคำว่า “ จี.ไอ.”-“G.I.”..มาจาก Government Issue ซึ่งหมายเรียกเกณฑ์ทหาร (อเมริกัน) และได้ถูกนำมาเรียกทหารสหรัฐฯ ที่ถูกส่งไปรบในดินแดนต่างๆ และคำว่า G.I. นั้นได้โด่งดังมาจากเพลงของนักร้องชื่อดังชาวอเมริกัน เอลวิส เพรสลี่ย์ ชื่อเพลง จีไอ.บลูส์- “G.I. Blues” ปี ค.ศ.1960 เมื่อ 52 ปี ราวปี พ.ศ.2503
|
ได้ทำข่าวสำคัญๆ ด้านสนามบินอู่ตะเภา เช่นข่าว “บ๊อบโฮป” ดาราภาพยนตร์ ดาราตลกชื่อดังของอเมริกา ครั้งที่ยกทีมมาแสดงโชว์ปลอบขวัญทหารจี.ไอ. ทำข่าว “นายพลลอนนอล” ผู้ทำการปฎิวัติเจ้าสีหนุ แห่งประเทศเขมร แต่ก็ต้องลี้ภัยเพราะถูกพวกเขมรแดงปฎิวัติต่อ เมื่อรบพุ่งสู้ทหารเขมรแดงไม่ได้ ต้องหนีขึ้นเครื่องบินทหารมาลงที่อู่ตะเภา ทำข่าวอาชญากรรมที่เกิดกับทหารจี.ไอ.หลายข่าว ข่าวสุดท้ายเมื่อ 7 ตุลาคม 2532 ทำข่าวเหตุการณ์ที่นักศึกษาพม่า 2 คนชื่อนาย Ye Yint และนาย Ye Thi Ha “ไฮแจ๊กส์” จี้เครื่องบินสายภายในประเทศพม่า บังคับให้นักบินนำเครื่องมาลงที่สนามบินอู่ตะเภา โดยมีวัตถุระเบิดซุกซ่อนไว้ในกล่องบรีส เครื่องบินลำนั้นมีผู้โดยสารจำนวนมากเป็นตัวประกัน จึงร่วมกับผู้สื่อข่าวบางกอกโพสต์ที่พัทยา และช่างภาพจากกอง บก.นายสมบัติ รักสกุล กับนายอภิชาต จินากุล ทำข่าวนี้เป็นข่าวพาดหัวใหญ่วันรุ่งขึ้น 8 ตุลาคม 2532
ปัจจุบันนี้ มีแต่พวกนักการเมืองดีแต่พูด กับนักการเมืองพวกรอลุ้นเอา พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสภากำลังโยนกลองกันอยู่ ด้วยเรื่องของ “นาซา” สร้างความสับสนให้ประชาชนคนไทย ในข้อที่ว่าใครเริ่มก่อน แล้วใครมาต่อยอดทำอะไรเป็นข้อตกลงให้พิสดารขึ้นจนกลายเป็น “เผือกร้อน” เป็นที่ชุลมุนฝุ่นตลบอยู่ วันนี้ “ผู้หญิงหัวหน้าอำมาตย์” ผู้เลอโฉมได้สยบ “รูปหล่อแต่กินไม่ได้” โดยใช้กระบวนท่าพลิ้ว..สายลมพัดฉ่ำ นำเรื่องเข้าไปถกกันใน ครม.แต่ไม่ได้มีมติ และออกข่าวว่าจะนำเรื่อง “เผือกร้อนนาซา” ที่พันเกี่ยวทางการทหารสหรัฐฯ ให้เข้าไปว่ากันในสภา... ไปว่ากันให้เหม็นขี้ฟันเหม็นน้ำลายอีกต้นเดือนสิงหาคม ก็ไม่อยากทำนายว่า เรื่องนี้ฝ่ายไหนชนะก็รู้ๆ กันอยู่ ใครกันล่ะที่พวกมากกว่ากัน
|
เป็นการดีที่พี่น้องประชาชนคนไทยจะได้รู้ “ความจริง” ว่าใครทำอะไรไว้มีเจตนาอย่างไร จึงไม่ขอลงรายละเอียด ปล่อยให้นักการเมืองซั่วๆ เขาว่ากันไป คนพวกนี้ช่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าขณะนี้ ชาวบ้านร้านช่องทั่วไทยกำลังเผชิญกับปัญหาค่าครองชีพแพง ราคาพลังงานแพงไม่ลดราคาลงตามที่หาเสียงไว้ ไม่สมราคาคุย คนพวกนี้ต่างไม่พูดถึง ดีแต่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องล้วนปกป้องตัวเองกับพวกพ้องเท่านั้น
ภาพย้อนยุคสงครามเวียด.. ที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ก่อขึ้นนั้น ยังมีอยู่อีกที่เป็นภาพข่าว นสพ.บางกอกโพสต์ยุคปี พ.ศ.2518 ที่เคยเป็นศิษย์เก่าทำข่าวส่งให้ และมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ผู้เสียชีวิตจากไปคือ นายปรีชา แสงอุทัย ผู้สื่อข่าว นสพ.ประชาธิปไตย กับเพื่อนหนุ่มไฟแรงนายจุฬา แก้วมงคล ทำข่าวให้นิสิตนักศึกษาช่วงปี 2516 ล้วนเป็นผลงานข่าวที่อาจจะนำมาเขียนถึงอีกเพื่อช่วยเตือนสติ เตือนความทรงจำของใครต่อใคร ให้ได้ตระหนักถึงพลังของสื่อที่มีอุดมการณ์จริงๆ รักความจริง กับพลังของประชาชนเจ้าของประเทศตัวจริงเสียงจริง
|
บัดนี้ เริ่มมีผู้มีอำนาจของประเทศมหาอำนาจที่มีศักยภาพเปรยๆ ออกมาแล้วว่า สถานการณ์โลกอาจจะหวนคืนสู่ยุคสงครามเย็น และเท่าที่ได้ติดตามข่าวจากสถานการณ์จริงๆ ของโลก ซึ่งประเทศมหาอำนาจต่างๆ ได้แสดงพลัง “วางกล้าม”-“เบ่งกล้าม” เพื่อชิงความได้เปรียบ เพื่อมิให้เสียเปรียบแก่กัน ประเทศมหาอำนาจเหล่านั้น ต่างก็แสดงแสนยานุภาพอาวุธทางการทหารนานาชนิด บ้างก็ส่งกองเรือรบแล่นไปตามน่านน้ำ ตามคาบมหาสมุทรต่างๆ บ้างก็อวดแสนยานุภาพทางอากาศยานรบมีให้เห็นมีมากเพิ่มขึ้น
ในสถานการณ์ที่ประเทศมหาอำนาจแต่ละประเทศได้แสดงออกอยู่นี้ จึงนับว่าเป็นสถานการณ์แหลมคมน่าห่วงกังวล หมายถึงสถานการณ์ภายหน้าอาจจะมีการสู้รบเกิดขึ้นได้ในสมรภูมิใดสมรภูมิหนึ่ง
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น