วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

อุทกภัยในฤดูร้อน ที่สุราษฎร์ธานีก็เผชิญปัญหาเดียวกัน

ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2554 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม มีฝนตกหนักในพื้นที่สุราษฎร์ธานี เป็นฝนที่เกิดจากหย่อมความกดอากาศต่ำซึ่งปกคลุมพื้นที่ภาคใต้ตอนกลาง ฝนหนักครั้งนี้ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะนี่เป็นช่วงหน้าแล้ง กำลังย่างเข้าเดือนห้า เดือนที่ว่าร้อนที่สุด แล้งที่สุดของปี



สายฝนกระหน่ำอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา 10 วัน 10 คืน ทำให้ปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลเอ่อท่วมเต็มพื้นที่ บางคนบอกว่าในรอบ 50 ปีไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผู้เฒ่าหลายท่านเล่าว่าเกิดมา 70 กว่าปีแล้วยังไม่เคยเห็น


น้ำท่วมครั้งนี้ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับชาวใต้แทบทุกหย่อมหญ้า ไม่มีใครไม่ได้รับผลกระทบ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และแทบจะพูดได้ว่า อุทกภัยครั้งนี้ เป็นทุกข์ของแผ่นดิน



ทุกคนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก สูญเสีย หิวโหย หนาวสั่นเพราะความเปียกชื้น บ้างก็ต้องหนาวเหน็บเมื่อพบความจริงว่า ทรัพย์สินที่สะสมมาทั้งชีวิตต้องมลายหายไปกับสายน้ำ


เวลานี้ไม่มีอะไรมาขัดขวาง หยุดยั้ง สายน้ำที่เชี่ยวกรากได้อีกแล้ว ทุกเห่งต้องเปิดทางให้สายนทีไหลผ่าน ถ้าไม่อยากถูกจู่โจมโถมทำลาย


น้ำท่วมรอบนี้ความเสียหายเกิดเป็นบริเวณกว้างมาก ตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำในบริเวณเทือกเขาหลวงในจังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และเขาพนมที่จังหวัดกระบี่ ซึ่งจะโดนสายน้ำที่ไหลรุนแรงมากพัดทำสายบ้านเรือน ถนนหนทาง พืชสวน พืชไร่ ทำเอาพี่น้องเราหมดเนื้อหมดตัวไปตามๆกัน ส่วนทางปลายน้ำเช่นที่พุนพินและพื้นที่อำเภอเมือง น้ำไหลเข้าท่วมอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด ทำให้ทรัพย์สินในบ้านเสียหายเป็นจำนวนมาก การคมนาคมถูกตัดขาด ผู้คนต้องอพยพไปยังแหล่งพักพิงต่างๆที่ตั้งขึ้นอย่างฉุกเฉิน


แน่นอนว่าทุกคนเศร้า เสียใจ ในความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่ขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ก็ทำให้เราได้เข้าใจถึงธรรมชาติ เรารู้มานานแล้วว่าน้ำท่วม ฝนตก แดดออก หรือความแห้งแล้งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพียงแต่เราอาจจะไม่เชื่อว่าจะเกิดเป็นภัยกับเรา หรือบางทีเป็นเพราะเราลืมไปว่าบริเวณนี้ในอดีตน้ำก็เคยท่วม แต่ก่อนนั้นไม่มีความเสียหายมากเพราะมีผู้คนอาศัยอยู่น้อย หลังจากปิดเขื่อนรัชชประภาแล้ว ปรากฎการณ์น้ำท่วมท่าข้ามก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย จากนั้นแถวนี้เป็นบ้านเรือนอาคารพาณิชย์ และสถานที่ราชการต่างๆ ป่าอ้อ ป่าแขมที่ใต้โค้งก็เป็นชุมชนใหญ่ มีผู้อยู่อาศัยมากมาย เมื่อน้ำมาแบบนี้จึงเดือดร้อนกันทั่วหน้า ความเสียหายก็มากขึ้นไปด้วย


ในขณะที่พี่น้องเราต้องเผชิญกับความพิโรธโกรธเกรี้ยวของพระแม่คงคา ต้องผจญกับมวลมหานทีที่ถาโถมเข้าใส่อย่างรุนแรงอยู่นั้น สื่อต่างๆได้ถ่ายทอดเรื่องราวในบ้านเราให้เห็นกันทั่วทั้งประเทศและออกไปทั่วโลก ทุกฝ่ายเร่งมือกันทำงานเพื่อนำความช่วยเหลือเข้าสู่พื้นที่ประสบภัยอย่าง ทั่วถึง และรวดเร็วที่สุด ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือทุกอย่างที่มีอยู่


สื่อส่วนกลางก็รายงานข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเป็นสื่อกลางรวบรวมสิ่งของบรรเทาทุกข์จากเพื่อนร่วมชาติ เพื่อประทังชีวิตพี่น้องเราในยามนี้ที่แทบช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ในขณะที่สื่อท้องถิ่นก็ทำหน้าที่เป็นหน่วยสื่อสาร เพื่อเชื่อมระหว่างผู้ประสบภัยและหน่วย...้ภัยเข้าด้วยกัน รวมทั้งเป็นสื่อรายงานเหตุการณ์ในปัจจุบัน ทั้งด้านเส้นทางคมนาคม ทั้งด้านการออกคำเตือนรวมทั้งประสานความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อพาทุกคนผ่านเหตุวิบัติให้ได้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้


สิ่งที่เห็นจากพิบัติภัยครั้งนี้ คือความช่วยเหลือที่บ่าเข้ามาไม่ต่างกับสายน้ำที่กำลังเข้าท่วมพื้นที่ ทุกคนคิดแต่จะช่วยผู้อื่น แม้ว่าตัวเองจะถูกน้ำท่วมจนสูญสิ้นทุกสิ่งไปแล้วก็ตาม


เครื่องบินเฮลิค็อปเตอร์ หลายแบบ หลายขนาด ออกบินว่อนแทบไม่ได้พักเครื่อง เพื่อนำความช่วยเหลือเข้าสู่พื้นที่ประสบภัยให้มากที่สุด ทั่วถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าจะขึ้นบินจนเกินกำลังแล้วก็ตาม


ความช่วยเหลือ มีมาจากทุกทิศทุกทาง ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วย...้ภัย องค์กรการกุศล ฯลฯ หลั่งไหลเข้าพื้นที่ไม่ขาดสาย แม้ว่าทุกฝ่ายจะทำงานด้วยความยากลำบาก ต้องฝ่าสายน้ำที่รุนแรงมาก เส้นทางที่ถูกตัดขาด สายฝนที่ตกอยู่ตลอดเวลาก็เป็นอุปสรรคอย่างยิ่ง


หน่วยงานภาครัฐทุกแห่ง ทั้งตำรวจ ทหาร พลเรือน ทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ต่างระดมสรรพกำลัง นำความช่วยเหลือไปสู่พี่น้องเราที่เดือดร้อนอย่างแสนสาหัส คราวนี้เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ได้เห็นการรวมพลของหน่วย...กู้ภัยครั้งใหญ่ที่สุด ทุกคนมาที่นี่ ด้วยความมุ่งมั่น การ...กู้ภัย




แม้ว่าธารน้ำใจจะหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ แต่เพราะบ้านเราไม่มีแผน และการเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญเหตุที่ดีพอ จึงเป็นเหตุให้ความช่วยเหลือทั้งหลายเข้าถึงผู้ประสบภัยอย่างทุลักทุเล และไม่ทั่วถึง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ประสบภัยกระจายตัวกัน ไม่มีจุดรวมที่ชัดเจน การส่งความช่วยเหลือจึงทำได้ไม่เท่าที่ควร



อุทกภัยในฤดูร้อนที่เกิดขึ้นคราวนี้ สร้างความเสียหายเป็นมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท พี่น้องเราจำนวนมากต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ทรัพย์สินที่สะสมมาตลอดชั่วอายุ สวนยาง สวนปาล์มที่สร้างมาหวังได้เก็บเกี่ยวเพื่อเลี้ยงชีวิต เลี้ยงครอบครัว ต้องจมหายไปใต้สายน้ำ ใต้โคลนตม เป็นความเศร้า หดหู่ สิ้นหวัง แม้ว่าเราชาวใต้ที่ได้ชื่อว่าเข้มแข็งที่สุด ก็แทบจะไปไม่รอด

ธรรมชาติสอนบทเรียนที่แสนแพงนี้ให้กับเรา ธรรมชาติกำลังบอกเราว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ และไม่มีใครจะขัดขวางธรรมชาติได้ตลอดไป จากนี้ไปอยู่ที่เราเองแล้วแหละ จะใช้บทเรียนนี้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร เราจะหาวิธีการอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างมีความสุข และยั่งยืน ตลอดไป





นำมาจาก http://123.242.172.2/forums/index.php?PHPSESSID=75f98f59f024517e2df29109d8c64722&topic=2774.15

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น