วันที่ 22 ก.ย. นายสุริยะใส กตะศิลา อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงคำสั่งศาลฎีกาที่ให้อดีตแกนนำพันธมิตรฯ 13 คน ชดใช้ค่าเสียหายแก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นเงิน 522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากกรณีร่วมกันปิดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551 ว่า มีคำถามกันมาเยอะทั้งจากพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งในประเทศและต่างประเทศว่าอดีตแกนนำและจำเลยทั้ง 13 คนจะดำเนินการอย่างไรต่อ แต่ด้วยแกนนำได้ยุติบทบาทแล้วทำให้การประสานงานทำได้ยากขึ้นเพราะต่างคนต่างแยกย้ายกันไปในที่ต่างๆ
ผมในฐานะอดีตผู้ประสานพันธมิตรฯได้พยายามสอบถามความเห็นจำเลยบางส่วนและทีมทนายหลายท่าน มีประเด็นที่พอจะแจ้งให้สังคมทราบในเบื้องต้น ย้ำนะครับเป็นความเห็นเบื้องต้นเท่านั้นดังนี้ 1.ในส่วนของจำเลยทั้ง 13 คนไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้าสู่กระบวนการทางคดีหลังคำพิพากษาศาลฎีกาออกมา คือ ต้องรอทางการท่าอากาศยานฯ ในฐานะโจทก์เรียกคุยในฐานะเจ้าหนี้กับลูกหนี้ว่าจะชดใช้อะไรหรือไม่อย่างไร จะคุยกันไหม คุยแล้วจะได้ความไหมก็ยังไม่รู้
2.ขั้นตอนนี้คงต้องใช้เวลาสักระยะพอสมควร ถ้าไม่เป็นผล การท่าฯ ไม่พอใจ เขาก็จะร้องกรมบังคับคดีเพื่อดำเนินการสืบทรัพย์ ยึดทรัพย์จำเลย ถ้าไม่พอชำระอีก หรือไม่เป็นที่พอใจของการท่าฯ ก็สามารถดำเนินการฟ้องล้มละลายได้ต่อไป 2 ขั้นตอนนี้อยู่ที่การท่าฯเป็นคนเดินเรื่องในฐานะเจ้าหนี้ แต่ในฐานะจำเลย ก็มีความเห็นที่ยังไม่ได้ข้อยุติ บางส่วนบอกจะขอเจรจาจ่ายเท่าที่จ่ายได้ ตามกำลังความสามารถ เราไม่มี และไม่หนีแต่ก็น้อมรับคำพิพากษาศาล ซึ่งก็ขึ้นกับการท่าฯว่าจะยอมหรือไม่
ในขณะที่จำเลยบางท่าน บอกไม่ต้องทำอะไร ไม่มี ไม่หนี และไม่จ่าย ให้ฟ้องล้มละลายไปเลย เพราะเรายืนยันในความบริสุทธิ์ใจของเราว่ากระทำไปเพื่อประโยชน์สาธารณะไม่ใช่เรื่องส่วนตัว อีกความเคลื่อนไหวหนึ่งที่มาแรงมากๆ มีการเสนอตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาคดีนี้โดยการรับบริจาคจากผู้ร่วมอุดมการณ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขต่อด้วยกันมา เพื่อร่วมรับผิดชอบช่วยจำเลยทั้ง 13 คนนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะยังมีอีก 2 คดีแพ่งคือ คดีที่วิทยุการบินเป็นโจทก์ฟ้อง 14 จำเลย 102 ล้านยังไม่รวมดอกเบี้ย ศาลแพ่งชั้นต้นและอุทธรณ์ตัดสินให้จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหาย ขณะนี้อยู่ระหว่างศาลฎีกา
คดีที่การบินไทย เป็นโจทก์ฟ้องแพ่งจำเลย 36 คน เรียกค่าเสียหายอีก 575 ล้าน แต่คดีผู้พิพากษาท่านให้ชะลอเพื่อรอคดีอาญา (คดีก่อการร้าย) แต่ในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ ศาลท่านเรียกจำเลยไปสอบถามความคืบหน้าในคดีอาญา ฉะนั้นถ้าจะทำกองทุนระดมเงินกันจริงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเงินก้อนโตมากๆและเป็นภาระมวลชน ที่สำคัญก็มีความเชื่อว่าเราไม่ผิดจะยอมเสียเงินกันอีกทำไม จะฟ้องล้มละลายก็ว่าไปเลย เฉพาะคดีการท่า 522 ล้านรวมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปีก็ตกไปประมาณ 867 ล้านบาทแล้ว
ทั้งหมดที่ผมประมวลมาก็เป็นเหตุให้ต้องใช้เวลาในการพิจารณากันให้ละเอียดเพราะแต่ละคดีล้วนเชื่อมโยงกัน อย่างไรก็ตามแนวทางข้างต้นคาดว่าคงได้ข้อยุติที่เป็นทางการเร็วๆนี้ครับ ผมจะแจ้งให้ทราบอีกทีครับ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_523617
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น