ทรงพระแสงปืน M-1911
ทรงพระแสงปืน M-16
ทรงพระแสงปืน M-16 ติดกล้องเล็งและท่อเก็บเสียง
ทรงพระแสงปืน M-16
นายทหารของศูนย์การทหารราบค ่ายธนะรัชต์ปราณบุรีผู้หนึ่ ง ซึ่งได้เคยถวายการรับใช้เมื ่อทรงพระแสงปืนเอ็ม-16 ที่สนามยิงปืนของศูนย์การทห ารราบเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความเชี่ยวชาญในเรื่อง พระแสงปืนเอ็ม-16 อย่างมาก ปืนนี้มีข้อบกพร่องบางอย่าง ที่ไม่รู้กัน แต่ทรงรู้มาจากการที่ได้ทรง ศึกษาจนสามารถพระราชทานคำแน ะนำแก่ทหารได้
เรื่องปืนเอ็ม-16 นี้ ในบทความ “พระเจ้าอยู่หัวกับตำรวจ” เขียนโดย พล.ต.ท. วสิษฐ เดชกุญชร ตีพิมพ์ในนิตยสารโล่เงิน เดือนธันวาคม 2524 ก็ได้บันทึกไว้เช่นกันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาสมรรถนะของปืนเอ็ม-16 จนทรงมีความรู้อย่างละเอียดลึกซึ้ง งานอดิเรกที่ทรงโปรดในครั้งกระนั้นคือ การซ่อมปืนเอ็ม-16 ที่ชำรุด เมื่อใช้งานได้แล้วก็พระราชทานให้นายทหารราชองครักษ์และนายตำรวจสำนัก นำไปแลกกับปืนที่ชำรุดตามหน่วยต่าง ๆ ในสนามเพื่อเอามาถวายให้ทรงซ่อมต่อไปอีก
ข้อมูลจาก นิตยสารหลักไท ฉบับวันที่ 11 ธันวาคม 2528
ทรงพระแสงปืน Carbine M-1
ทรงพระแสงปืน XM-177
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงสนพระราชหฤทัยในส่วนประกอบและการทำงานของปืน M 16 ถึงกับได้ทรงผ่าปืนชนิดนั้นออกเพื่อทรงศึกษากลไกและส่วนประกอบของปืน ต่อมาในไม่ช้าก็ทรงสามารถประกอบอาวุธปืนชนิดนั้นได้ด้วยพระองค์เอง เวลาเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมหน่วยทหารหน่วยตำรวจและมีผู้ถวายรายงานว่า ปืนชนิดนั้นชำรุดและไม่สามารถซ่อมแซมได้เพราะขาดเครื่องอะไหล่และขาดช่าง ก็ทรงพระกรุณารับปืนเหล่านั้นไป และทรงซ่อมด้วยพระหัตถ์ โดยทรงใช้ส่วนที่ยังใช้การได้ดีอยู่ของปืนกระบอกหนึ่ง ด้วยวิธีนี้ ปืนที่เสียหลายกระบอกจึงกลายเป็นปืนที่กลับดีขึ้นมาอีก
ทรงพระแสงปืน GALIL
“ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า เฮลิคอปเตอร์ของกรมตำรวจที่ใช้ปฏิบัติหน้าที่สนามนั้น ไม่มีอาวุธติดกับเครื่องบิน เพราะเป็นเฮลิคอปเตอร์ธรรมดาสำหรับใช้ขนส่งทั่วไป… เมื่อทรงทราบเช่นนั้นก็ทรงพระกรุณาพระราชทานความคิดให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ซึ่งเป็นวิศวกร ไปประดิษฐ์ฐานสำหรับติดตั้งปืนกลติดกับตัวเครื่องบิน เพื่อให้นักบินสามารถยิงตรงไปทางด้านหน้าได้ด้วย”
จากหนังสือ รอยพระยุคลบาท หน้าที่ ๓๕
โดย พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร
เกี่ยวกับอาวุธปืนนี้ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ ทรงสนพระราชหฤทัย เสด็จเยี่ยมหน่วยทหารตำรวจ (โดยเฉพาะศูนย์การทหารราบและค่านเรศวร) คราวใด คราวนั้นก็มักจะเสด็จฯ ทอดพระเนตรการฝึกซ้อมยิงปืน และบางครั้งก็ทรงยิงปืนในสนามด้วย ในโอกาสเดียวกันนั้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทูลกระหม่อมชายและทูลกระหม่อมหญิงฝึกซ้อมยิงปืนชนิดต่าง ๆ ด้วย พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ นั้นทรงปืนได้แม่นยำทั้งสองพระองค์
เมื่อทรงเริ่มสนพระราชหฤทัยในการยิงปืนนั้น สนามยิงปืนของค่ายเนรศวรยังไม่คุ้นเคยกับฝ่าละอองธุลีพระบาท เพราะฉะนั้น เจ้าหน้าที่ผู้ถวายความสะดวกในการทรงปืนจึงได้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ถวายความปลอดภัยจากราชสำนักเป็นส่วนใหญ่ ผมเองเป็นผู้หนึ่งที่ได้มีโอกาสทำหน้าที่ถวายด้วย
ค่ำวันหนึ่งเมื่อเสด็จฯ ไปถึงสนามยิงปืนของค่ายนเศวร เจ้าหน้าที่เตรียมการถวายเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงปืน พระแสงปืนที่ทรงในวันนั้นเป็นแบบปืนเล็กกลแบบ M๑๖ พอทรงยิงไปได้หนึ่งชุด ผมซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ชี้เป้าถวายก็ออกวิ่งไปดูที่เป้าที่เพิ่งจะทรงยิง และเห็นด้วยความไม่ประหลาดใจอะไร (เพราะรู้อยู่แล้วว่าทรงปืนแม่น) ว่าไม่มีกระสุนนัดใดออกจากวงดำของเป้าไปเลยแม้แต่นัดเดียว
ผมวิ่งกลับไปที่แนวยิง ถวายความเคารพ แล้วกราบบังคมทูลอย่างฉาดฉานว่า “ถูกหมดทุกนัด พระพุทธเจ้าข้า”
มีพระราชดำรัสถามว่า ถูกกี่นัด ?
ผมไม่ได้นับจำนวนกระสุนที่ถูกเป้า แต่รู้ว่าแม็กซีนหรือซองกระสุนที่ใช้บรรจุกระสุนปืนสำหรับปืน M๑๖ รุ่นนั้นในสมัยนั้นบรรุได้เต็ม ๒๐ นัด จึงกราบบังคมทูลอย่างฉับพลันว่า
“๒๐ นัด พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าอยู่หัวรงก้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตรพระแสงปืนในพระหัตถ์ ทรงพลิกพระแสงไปมา ๒-๓ ตลบ แล้วเงยพระพักตร์ขึนแย้มพระสรวล ก่อนที่จะตรัสว่า
“ปืนกระบอกนี้วิเศษมาก บรรจุ ๑๘ นัด แต่ยิงได้ถึง ๒๐ นัด”
ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น