วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

"หลวงปู่พิมพ์"ย่องเงียบ!! ย้าย รพ. หายตัวไม่ระบุที่อยู่!


ลูกศิษย์พา "หลวงปู่พิมพ์" ย้ายโรงพยาบาลกลางดึก นักข่าวตามหาแต่ไม่เจอ ชี้แจงกรณีภาพสาวบีบนวดให้ที่แท้เป็นลูกสาว



วันนี้(12ก.ย.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่โรงพยาบาลคอนสาร จ.ชัยภูมิ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวไม่พบ หลวงปู่พิมพ์ พักอยู่ที่ห้องหมายเลข 9 ของโรงพยาบาลแล้ว หลังจากเกิดกระแสข่าวตโจมตีต่างๆ นานา รวมทั้งกรณีพบหญิงสาวเข้าไปบีบนวดให้ถึงโรงพยาบาล ซึ่งทางเจ้าหนาที่โรงพยาบาลแจ้งว่า ลูกศิษย์ของหลวงปู่ได้ดำเนินการทำเรื่องย้ายออกจากโรงพยาบาล ตั้งแต่เมื่อเวลา 03.00 น. ที่ผ่านมา เนื่องจากหลวงปู่ไม่ต้องการพบสื่อหรือผู้ใดอีก โดยแจ้งว่าจะย้ายไปที่รักษาต่อที่โรงพยาบาลเมืองชัยภูมิ



ในเวลาต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลชัยภูมิ ปรากฏว่าทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแจ้งว่า หลวงปู่พิมพ์ไม่ได้มาเข้ารับการรักษาที่ย้ายมาตัวมารักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าวแต่อย่างใด ผู้สื่อข่าวจึงได้สอบถามไปยังวัดป่าเวฬุวัน ลูกศิษย์ก็แจ้งว่าหลวงปู่ยังไม่ได้กลับมาที่วัดแต่อย่างใด คาดว่าหลวงปู่น่าจะพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลชัยภูมิ แต่ไม่ต้องการเปิดเผยห้องพักรักษาด้วย เนื่องจากไม่ต้องการพบปะสื่อมวลชนและผู้ใด



ขณะที่กรณี ภาพสีกากำลังบีบนวดให้กับหลวงปู่พิมพ์ ที่กำลังกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในเวลานี้ ทางลูกศิษย์ได้ชี้แจงสั้นๆ ว่า เป็นลูกสาวของหลวงปู่พิมพ์ ซึ่งหลวงปู่มีลูกแฝดชายหญิง หลังเกิดประเด็นข่าวลูกๆ ทั้ง 2 ได้ผลัดเปลี่ยนกันเข้าไปดูแลหลวงปู่ตลอดเวลา



สำหรับกรณีที่เกิดขึ้น ผู้สื่อข่าวยังได้สอบถามไปยัง สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ที่กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เท่าที่อาตมาทราบ หลวงปู่พิมพ์เป็นพระนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ขณะนี้อาพาธจากหลายโรค แต่ไม่ทราบวิธีปฏิบัติของท่านเป็นเช่นไร ซึ่งเมื่อปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมาถึงขั้นหนึ่ง อาจทำให้สำคัญผิดว่าได้บรรลุธรรม เนื่องจากไปติดในวิปัสสนูปกิเลส แต่การจะเข้าข่ายอวดอุตริได้ คือ ผู้ไม่มีวิชาอะไรเลย แล้วไปอวดอ้างคุณวิเศษที่ไม่มีในตัวตน เพื่อหวังลาภสักการ บริวาร ดังนั้น พระพุทธองค์จึงต้องมีการบัญญัติห้ามพระภิกษุอวดอ้างคุณวิเศษที่ไม่มีในตัวตน ในการป้องกันพระสงฆ์ประพฤติไม่เหมาะสม



http://www.tnews.co.th/html/content/106269/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น