วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

จับตา“อุ้มบุญ”ต้องไม่เกรงใจสีเดียวกัน




นายปกครอง

กรณี “อุ้มบุญ” ในประเทศไทย กลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่กันขึ้นมาอีก เมื่อบ้านเราถูกระบุว่า เป็นแหล่งสำคัญที่มีการรับจ้าง“อุ้มบุญ”อันโด่งดังไปหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ได้มาจ้างคนไทยให้ตั้งครรภ์ให้ เป็นจำนวนมาก

การ “ตีแผ่”ข่าวคาวเรื่อง“อุ้มบุญ” มีจุดเริ่มต้นมาจาก หญิงไทยคนหนึ่ง ได้“อุ้มบุญ”ให้กับชาวออสเตรเลีย ได้ออกมาแฉว่า ถูกเบี้ยวค่าจ้างอุ้มบุญจำนวน 70,000 บาท และยังไม่รับผิดชอบเด็กแฝดอีกคนหนึ่งที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีเรื่อง“อุ้มบุญ”ที่หนักไปกว่านั้น คือ ชาวญี่ปุ่นอายุเพียง 24 ปีเท่านั้น มาจ้างคนไทยให้อุ้มบุญครั้งเดียวมากถึง 15 คน เขาใช้ความสามารถพิเศษ สามารถนำเด็กออกไปได้แล้วไม่น้อยกว่า 4 คนด้วยกัน ยังเหลืออีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเขาได้พยายามที่จะนำเด็กออกไปด้วยเหมือนกัน

คงไม่ใช่มีเพียงเด็ก“อุ้มบุญ”ที่เป็นข่าวเท่านั้น ยังมีชาวต่างชาติ มาจ้างคนไทยอุ้มบุญเป็นจำนวนมาก ที่ยังตกค้างอยู่ในเมืองไทย ไม่สามารถนำเดินทางออกนอกประเทศไทยได้ เนื่องจาก “ข่าว” ที่กระจายออกไปทั่วนี้ ทำให้ขบวนการ“อุ้มบุญ”ในไทยชะงักงันกัน

“ข่าว”ที่ออกไปนั้น ต้องยอมรับว่า ได้ส่งผลต่อรายได้ หรือส่งผลกระทบต่อ “ธุรกิจอุ้มบุญ”ทางด้านการแพทย์ไปไม่น้อย

สาเหตุที่เรียกว่าเป็น “ธุรกิจอุ้มบุญ” นั้น ต้องยอมรับกันว่า ในปัจจุบันนี้ ได้ประกอบวิชาชีพที่เรียกว่าสุ่มเสี่ยง ว่าจะเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ตั้งแต่สถานเบาๆ ด้านจรรยาบรรณ ไปจนถึงสถานหนักที่หลายฝ่ายออกมาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยกันสำหรับภาพลักษณ์ประเทศไทยเลยนั้นคือ “ค้ามนุษย์”

ในการประกอบธุรกิจ“อุ้มบุญ”นั้น ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า “แพทย์”ของไทยมากกว่า 100 ราย สามารถสร้างฐานะให้กับตนเอง ด้วยการประกอบ “ธุรกิจอุ้มบุญ”กัน

แพทย์บางคนเหล่านี้ จะทำธุรกิจแบบสุ่มเสี่ยง เลี่ยงบาลีไปวันๆ ทั้งๆ ที่ในใจนั้นย่อมรู้กันดีว่า การทำธุรกิจในลักษณะนี้นั้น คือการ “รับจ้าง” ทำเพื่อเงินกันเสียส่วนใหญ่

โดยการอุ้มบุญของไทยที่แท้จริง ที่ทำกันแล้วไม่ผิดกฎหมายคือ “ญาติ ที่แต่งงานกันแล้ว มีบุตรยาก หรือบางคน ไม่สามารถมีบุตรได้ ก็จะไหว้วานให้กับทางญาติด้วยกันเอง ไม่ว่าจะเป็นญาติของฝ่ายหญิง หรือฝ่ายชายก็ได้ ให้ช่วยตั้งท้องให้ โดยแพทย์นั้น ฉีดน้ำเชื่อผสมกับไข่ของผู้หญิงให้ตั้งครรภ์ให้ 9 เดือน”

แต่ขบวนการ“อุ้มบุญ”ในบ้านเรานั้น ได้ทำกันเป็นขบวนการที่ประกอบไปด้วยหลายฝ่าย โดยเริ่มจาก ฝ่ายที่ต้องการมีบุตรโดยเฉพาะชาวต่างชาติ ได้ติดต่อฝ่ายที่ 2 คือ “นายหน้า”ที่อยู่เมืองไทย หลังจากนั้นจะไป “จ้างหญิงไทย” ที่มีฐานะยากจน หรือคนไทยที่ต้องการจะมีเงินใช้ ไปตั้งท้องให้ เป็นฝ่ายที่ 3 และฝ่ายสุดท้ายคือ “แพทย์”บางคนที่มีความชำนาญในเรื่องของการคัดเลือกไข่ คัดเลือกน้ำเชื่อ แล้วผสมกันฉีดเข้าไปในท้องของหญิงไทย

การคัดเลือกเชื้อนี้มีความสำคัญมาก โดยแพทย์ที่ชำนาญนั้น สามารถทำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์นั้น เป็นเด็กแฝดก็ได้ เป็นเด็กผู้ชายก็ได้ เป็นเด็กผู้หญิงก็ได้

ซึ่งต้องยอมรับเช่นกันว่า แพทย์ของไทยนั้น มีความเก่งทางด้านนี้จริง จนเป็นที่ลือชื่อกันว่า สุดยอดของโลกเลยทีเดียว

แต่บางครั้งก็เกิดการพลาดได้เหมือนกัน บางครั้งพลาดด้วยการคัดเชื้อที่ไม่สมบูรณ์แล้วนำไปให้อุ้มบุญ ซึ่งความไม่สมบูรณ์นี้ ทำให้เด็กคลอดออกมาไม่สมบูรณ์เช่นกัน

หากแพทย์สภา องค์กรที่ดูแลจรรณยาบรรทางด้านการแพทย์ ทำการตรวจสอบกันแบบไม่เกรงอกเกรงใจกันแล้ว จะพบว่า มีสถานพยาบาลจำนวนมาก หรือมีแพทย์จำนวนมาก ทำธุรกิจ “อุ้มบุญ”กัน

ในขณะเดียวกัน ทางด้านของตำรวจเองก็ไม่ได้คิดจะแก้ปัญหากันอย่างจริงๆ จังๆ เหมือนกัน เกรงใจสีเดียวกันเหมือนกัน

ตามโซเชียลออนไลน์นั้น ได้ปล่อยออกมาจนเป็นกระแสว่า มีตำรวจคนหนึ่งทำ “ธุรกิจอุ้มบุญ” ด้วยเหมือนกัน พร้อมกับมีความสนิทสนมกับ “บิ๊กตำรวจ” ที่มาคุมคดีนี้

อย่างนี้ก็น่าจะรู้ว่าจุดจบของเรื่องนี้ จะมีการเอาจริง เอาจังกันหรือไม่อย่างไร..?

ดังนั้น หาก “แพทย์-ตำรวจ”ต้องการที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ จะต้องไม่เกรงใจสีเดียวกัน เชื่อว่า สามารถทำเมืองไทยไม่ให้เสียชื่อเสียงได้อย่างแน่นอน






สำนักข่าวเจ้าพระยา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น