ศิลปวัฒนธรรม ท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ Thailand > เรื่องทั่วๆไปที่คนไทยควรรู้ >
วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
เสียงจากแดนไกล...เปิดใจ วัฒนา อัศวเหม
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ศูนย์ข้อมูลการเมืองไทย
กลับมามีชื่อในกระแสข่าวอีกครั้งในรอบหลายปี สำหรับ นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เจ้าของฉายาเจ้าพ่อปากน้ำ ที่หลบหนีโทษจำคุก 10 ปีไปกบดานอยู่ต่างประเทศ หลังจากศาลพิพากษาว่า มีความผิดในคดีทุจริตโครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายวัฒนา อัศวเหม ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกที่วัดเหมอัศวาราม ในเมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีผูกพัทธสีมา ฝังลูกนิมิต ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นวัดพุทธนิกายหินยานแห่งแรกในแผ่นดินจีน ที่นายวัฒนาควักเงินกว่า 200 ล้านบาทสร้างขึ้น
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ ได้สัมภาษณ์นายวัฒนา ถึงการใช้ชีวิตนอกประเทศไทย รวมทั้งแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดความคิดสร้างวัดวาอารามแห่งนี้ และมุมมองของเขาที่มีต่อการเมืองไทยในปัจจุบัน
ก่อนอื่น ผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุการณ์ในวันที่นายวัฒนากำลังจะเดินทางไปฟังคำพิพากษาในคดีคลองด่าน ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง นายวัฒนา เปิดเผยว่า ในวันนั้นตนกำลังจะขึ้นรถไปที่ศาลด้วยความมั่นใจอย่างเต็มที่ เพราะคิดว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็มีผู้หวังดีที่น่าเชื่อถือคนหนึ่งโทรศัพท์มาบอกว่า ไม่ให้ตนไป เพราะเขารู้แล้วว่า ตนจะถูกตัดสินจำคุก 10 ปี
นายวัฒนา เปิดใจต่อว่า การที่มีคนโทรศัพท์มาเตือนแสดงว่าตนไม่ใช่คนบาป และโชคดีที่ตนมีเพื่อนฝูงมากมาย ไปที่ไหนก็มีคนดูแล จึงตัดสินใจออกมาจากเมืองไทย แต่ก็คิดถึงบ้าน คิดถึงลูกทุกวัน ที่ผ่านมามีคนติดต่อมาหาตน บอกให้รีบกลับไปรับผิด พวกเขาจะช่วยเหลือ แต่ตนเป็นคนจริง ทำจริง ไม่เคยโกหก ไม่เคยเอาทรัพย์สินของรัฐมาเป็นของตัวเอง หากไม่ได้ทำความผิด ก็จะไม่ยอมรับเด็ดขาด แม้เพียงนาทีเดียว
เมื่อถามว่า ทำไมจึงคิดสร้างวัดเหมอัศวาราม เจ้าพ่อปากน้ำ ชี้แจงว่า หลังจากออกจากเมืองไทยก็รู้สึกว้าเหว่ และสถานที่ที่ไปอยู่ในตอนแรกก็อากาศไม่ดี ทำให้มีปัญหาสุขภาพ จึงออกเที่ยวไปเรื่อย จนสุดท้ายก็ตัดสินใจมาอยู่ที่ประเทศจีน เพราะบรรพบุรุษของตนเป็นคนจีนแท้ ๆ โดยวันหนึ่ง ตนได้โทรศัพท์ไปหาสมเด็จเกี่ยว (สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)) พระอาจารย์ที่ตนเคารพนับถือ และเป็นลูกศิษย์มานานกว่า 50 ปี ท่านได้แนะนำให้สร้างวัด ตนจึงตัดสินใจสร้างวัดพุทธในประเทศจีน ซึ่งก็มีอุปสรรคบ้าง แต่ก็สามารถแก้ปัญหาได้ จนถึงวันนี้ การสร้างวัดคืบหน้าไปกว่า 50% แล้ว คาดว่าวัดจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ภายใน 1 ปีนี้ หากตนไม่ตายเสียก่อน
นอกจากนั้น ในเวลาว่าง เจ้าพ่อปากน้ำคนนี้ยังสอนมวยให้ลูกศิษย์ตัวเล็ก ๆ ที่พ่อแม่เอามาฝากไว้ให้เรียนมวย ปัจจุบัน ก็มีลูกศิษย์อยู่กว่า 400-500 คนแล้ว หากวันไหนว่าง ๆ ก็จะผัดก๋วยเตี๋ยวให้กิน ทำให้ไม่เหงา ซึ่งเขาบอกว่า เห็นเด็ก ๆ เหล่านี้แล้วก็ชวนให้คิดถึงหลาน ๆ
นายวัฒนา บอกด้วยว่า สมเด็จเกี่ยวเคยสอนไว้ว่า ธรรมะเกิดจากความสุจริต และคนอย่างวัฒนา บุญคุณทดแทนเต็มที่ แต่แค้นไม่ชำระ ทั้งที่เมื่อก่อนตนคิดอยู่ทุกวันว่าจะชำระแค้นอย่างไร แต่เมื่อได้มาสร้างวัดแล้ว ความแค้นกลับหายไป เพราะตนมองว่า นี่คือการชดใช้กรรม ส่วนคนที่ก่อกรรมกับตน เขาก็ต้องชดใช้กรรมเช่นกัน ซึ่งหลายคนก็ชดใช้กรรมไปแล้วทั้งที่ตนไม่ต้องไปทำอะไร และก็มีนักการเมืองบางคนที่เคยทำไม่ดีกับตนไว้ได้มาขอโทษบ้าง
ขณะเดียวกัน แม้นายวัฒนายังอยู่ต่างแดน แต่ก็ยังได้ติดต่อกับนักการเมืองไทยอยู่บ้าง เช่น นายเสนาะ เทียนทอง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ก็เคยพบกันบ้าง แม้ไม่บ่อยนัก แต่ถ้าถามถึง บรรหาร ศิลปอาชา ต้องถามเขาว่ายังรู้จักตนหรือไม่ (หัวเราะ) จริง ๆ ก็ไม่ได้โกรธกัน ส่วน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ก็รู้จักชอบพอกันดี มีถามสารทุกข์สุกดิบกันบ้าง แต่ไม่เคยพูดถึงเรื่องพระราชบัญญัติปรองดองที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในช่วงที่ผ่านมา
เมื่อถามถึงมุมมองที่มีต่อการเมือง อดีต ส.ส.11 สมัย บอกว่า ตนไม่ค่อยอยากยุ่ง เพราะจากประสบการณ์ที่เป็น ส.ส.มากว่า 30 ปี ยังไม่เคยเห็นการเมืองไทยเป็นเช่นนี้มาก่อน ที่แต่ละฝ่ายต่างเอาชนะคะคานกันแบบเอาเป็นเอาตาย
ทั้งนี้ นายวัฒนา ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายคิดถึงประเทศชาติเป็นหลัก อยากให้คนไทยหวงแผ่นดินเกิด รักกัน ให้อภัยกัน อย่าทำให้บ้านเมืองเสียหาย เพราะความต้องการเอาชนะโดยไม่มีคุณธรรม และศีลธรรม ส่วนการปรองดองคงเกิดขึ้นได้ยาก หากไม่หันหน้าเข้าหากัน และเอาความจริงออกมาพูด เวลานี้ทุกคนต้องแสดงความจริงใจ อะไรผิดคือผิด ถูกคือถูก ไม่จำเป็นต้องมีคนกลาง เพราะเวลานี้ไม่มีใครน่าเชื่อถือพอที่จะเป็นตัวกลางได้
สุดท้าย เมื่อถามว่าคิดเห็นอย่างไรกับกฎหมายนิรโทษกรรม นายวัฒนา ย้ำว่า ไม่เคยหวังกับกฎหมายนิรโทษกรรม ถ้ายังเล่นการเมืองแบบนี้อยู่ก็คงนิรโทษกรรมไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การปรองดองเป็นสิ่งดี แต่ทุกฝ่ายต้องจริงใจ และตั้งใจที่จะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น