วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

“ฉงชิ่ง” เมืองเนรมิต เริ่ด! วิจิตรมรดกโลก






โดย : ตะลอนเที่ยว(travel_astvmgr@hotmail.com)



แสงสีเมืองฉงชิ่งยามราตรี
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนบรรดาเมืองใหญ่-น้อยต่างๆในประเทศจีนในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา “ฉงชิ่ง” นับเป็นหนึ่งในเมืองที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วฉับไว

รวดเร็วชนิดที่หากใครเว้นว่างจากการไปเยือนเมืองนี้ 7-8 ปี กลับไปอีกที อาจจะจำหลายๆย่านหลายๆมุมในเมืองนี้ไม่ได้ เพราะมันเปลี่ยนไปชนิดที่แทบจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินกันเลยทีเดียว




แยงซีเกียง แม่น้ำสายสำคัญแห่งฉงชิ่ง
ฉงชิ่ง 1 ใน 4 มหานคร

ฉงชิ่ง”(Chongqing) เดิมเป็นเมืองเอกที่ขึ้นกับมณฑลเสฉวน แต่ด้วยชัยภูมิที่ตั้งที่เหมาะสมและเป็นเมืองที่มีประชากรอยู่เป็นจำนวนมาก(ปัจจุบันมีกว่า 30 ล้านคน) ในปี ค.ศ. 1997 รัฐบาลจีนได้ประกาศยกฐานะฉงชิ่งเป็น1 ใน 4 มหานครของเมืองจีน ที่นอกจากฉงชิ่งแล้วก็มี เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และเทียนสิน ขึ้นต่อรัฐบาลกลางจีนโดยตรง นั่นจึงทำให้ฉงชิ่งมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นมหานครใหญ่อันดับต้นๆที่มีฐานะและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดีเยี่ยม อีกทั้งยังเป็นฮับสำคัญที่จะเชื่อมโยงไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆและเมืองใหญ่ๆของจีนตอนล่าง โดยล่าสุดทางสายการบินแอร์เอเชียได้เปิดเส้นทางบิน“กรุงเทพฯ-ฉงชิ่ง” ขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การค้า และด้านอื่นๆระหว่างไทยกับเมืองๆนี้




รู้เมืองฉงชิ่งผ่านโมเดลที่พิพิธภัณฑ์ประจำเมือง
สำหรับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของฉงชิ่งนั้น นอกจากจะดูได้ทั่วไปในเมืองใหญ่เมืองนี้แล้ว สิ่งที่เมืองฉงชิ่งเขาภูมิใจนำเสนอเพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวล้ำของเมืองนี้ ก็คือที่พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองที่อยู่ติดใกล้ๆกับท่าเรือเฉาเทียนเหมินแห่งแม่น้ำแยงซีเกียง โดยงานนี้ “ตะลอนเที่ยว” มี “จิง ซือ หง” หรือ “อาหง” หรือที่คนไทยตั้งชื่อให้ว่า “สมชาย” มาเป็นไกด์นำเที่ยว

สมชายพาไปดูไฮไลท์สำคัญของเมืองนี้นั่นก็คือโมเดลการวางผังเมือง ที่ย่อส่วนลงมาให้เราเห็นเมืองฉงชิ่งได้ถนัดตาขึ้น ว่าเมืองนี้ภายหลังจากการสร้างเมืองเป็นมหานครทางรัฐบาลจีนได้เนรมิตสิ่งปลูกสร้างต่างๆขึ้นมา โดยใช้วิธีการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบมีการสร้างโมเดลประกอบ เพื่อกำหนดย่าน-โซนต่างๆของเมืองไว้อย่างชัดเจน




กิจกรรมล่องเรือชมแม่น้ำและแสงสียามราตรี
ในผังเมืองจำลองนี้ “ตะลอนเที่ยว”ยังได้เห็นถึงกายภาพของเมืองฉงชิ่งที่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะในหุบเขา มีแม่น้ำสำคัญ 2 สาย คือ “แม่น้ำเจียหลิง” หรือ เจียหลิงเจียง(สายรอง) ที่ไหลมาจากจิ่วไจ้โกวมารวมกับ “แม่น้ำแยงซีเกียง” ที่เมืองนี้

พูดถึงแม่น้ำแยงซีเกียงแล้ว ฉงชิ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการล่องเรือสำราญท่องเที่ยวสัมผัสทัศนียภาพ 2 ฟากฝั่งของลำน้ำสายนี้โดยไปสิ้นสุดตามเมืองต่างๆตามระยะล่องใกล้ไกล ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในจุดขายทางการท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนี้




อาคารสำคัญของสมาคมหูกว่าง
ขณะที่ใครที่ไม่ได้ล่องเรือ ในยามค่ำคืนที่นี่ก็มีกิจกรรมล่องเรือชมทัศนียภาพของแสงสีไฟยามราตรีในแม่น้ำประจำเมือง 2 สาย โดยสิ่งที่เขาภูมิใจนำเสนอก็คือแสงสีแห่งความทันสมัยจากสิ่งก่อสร้างของเมืองนี้ ซึ่งหากใครอยากจะออกทัศนาเมืองนี้ ฉงชิ่งก็มีจุดสนใจชวนชม ชิม ช้อป อาทิ “สมาคมหูกว่าง” เป็นสถานที่เก่าแก่ที่บอกเล่าความมาเป็นไปต้นกำเนิดเมืองนี้ในยุคโบราณ ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงในลักษณะพิพิธภัณฑ์, “ศาลามหาประชาคม”(ต้าหลี่ถัง) หนึ่งในสัญลักษณ์ประจำเมือง




หงหยาต้ง คอมเพล็กซ์ในอาคารแบบจีนโบราณ
เมืองโบราณ” เมืองเก่าในราชวงศ์ซ่งที่อนุรักษ์ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ยล, “หงหยาต้ง” คอมเพล็กซ์ในรูปทรงอาคารโบราณขนาดใหญ่ ภายในมีร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม ร้านขายสินค้าที่ระลึก ฯลฯ ที่นี่ย่ามค่ำคืนถือเป็นจุดนัดพบพักผ่อนของชาวเมือง และจุดชมวิวชั้นดี อีกทั้งยังเป็นจุดถ่ายรูปที่สำคัญของนักท่องเที่ยวอีกด้วย




มะหมา ดาราบนถนนคนเดิน
นอกจากนี้ฉงชิ่งยังมี ถนนคนเดิน“เจี่ยฟังเป่ย” แหล่งช้อปปิ้งสินค้าหลากหลายทั้งของที่ระลึก สินค้าแบรนด์เนม และของกินสารพัดอย่าง เหมาะกับพฤติกรรมนักช้อปของคนไทยไม่น้อย

ต้าจู๋ ผาหินแกะสลัก

นอกจากสิ่งน่าสนใจในตัวเมืองแล้ว ออกนอกเมืองไป ฉงชิ่งยังมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในระดับมรดกโลกในสัมผัสกัน เริ่มด้วย “ต้าจู๋” หน้าผาหินแกะสลัก ที่ตั้งอยู่ ณ อ.ต้าจู๋




ภาพผาหินแกะสลักหลากสีสันอันอลังการที่ต้าจู๋
ผาหินแกะสลักในต้าจู๋มีจุดที่เป็นไฮไลท์ที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่อลังการที่สุดและสวยที่สุดนั้นอยู่ที่ “เป๋าติ่ง”

ผาแกะสลักเป๋าติ่ง เริ่มสร้างตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์ซ่งไปจนถึงสมัยราชวงศ์ชิง โดยผู้สร้างคนแรกเป็นพระชื่อ “เจ้า ซื่อ เฟิ่ง” ที่เริ่มออกบวชตั้งแต่ 5 ขวบ




งานแกะสลักตามคติความเชื่อในพุทธศาสนา
ภาพแกะสลักที่นี่ส่วนใหญ่เป็นประติมากรรมนูนสูง ที่แกะกว้านลูกลงไปจนเห็นรูปลักษณะชัดเจน อุดมไปด้วยชีวิตชีวาและลีลาความสวยงาม อีกทั้งยังมีการลงสีสันหลากหลาย แถมบางจุดยังมีประติมากรรมลอยตัวให้ยลกันอีกต่างหาก

ทั้งนี้คนโบราณเชื่อว่าเป๋าติ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จึงมีการแกะสลักขึ้นที่นี่ เพื่อให้เป็นศาสนสถาน ซึ่งมีทั้งความเชื่อของพุทธแบบมหายานและของลัทธิเต๋า โดยมีภาพเด่นๆ อาทิ ถ้ำปฏิบัติธรรม ที่แกะเป็นภาพพระตัวแทนพระพุทธเจ้ากับสาวกอีก 12 รูป แสดงธรรม ภาพสลักเทพเจ้าต่างๆ พระนอนองค์โตยาว 32 เมตร สูง 7 เมตร ภาพคำสอนขงจื้อ ภาพนิทานพื้นบ้าน ภาพวิถีชีวิตยุคโบราณ ภาพความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ภาพการตัดสินของคณะกรรมการตัดสินความดีความชั่วว่าเมื่อตายแล้วคนๆนั้นควรขึ้นนรกหรือสวรรค์ ซึ่งมีภาพประกอบเป็นนรกสวรรค์อย่างน่ายล




ผลงานแกะสลักภายในถ้ำปฏิบัติธรรม
และภาพไฮไลท์ที่รูปเจ้าแม่กวนอิมพันมือที่แกะลักได้อย่างวิจิตรน่าทึ่ง เพียงแต่ว่าช่วงนี้อยู่ในระหว่างปรับปรุง จึงทำให้ให้ไม่ถนัดและยากต่อการหามุมบันทึกภาพ




ภาพสลักกวนอิมพันมือ(ก่อนการบูรณะ)
ด้วยความวิจิตอลังการ และความเพียรพยามอันเป็นเลิศของคนโบราณในการเนรมิตผาหินแห่งนี้ให้กลายมาเป็นแดนธรรมอันน่าทึ่ง ทางองค์การยูเนสโกจึงประกาศให้ที่นี่เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1999 เรียกว่าเหมาะสมกับสถานที่อันทรงคุณค่าแห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง




ลิฟต์แก้วสัญจรขึ้น-ลง หุบเหว
สะพานฟ้า อู่หลง

ฉงชิ่งมี“อู่หลง”(Wulong)เป็นเมืองตากอากาศ ที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขา ทัศนียภาพสวยงาม อากาศดี และมากไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจ ซึ่งในปัจจุบันนี้ทางการจีนเขากำลังสนับสนุนการท่องเที่ยวในรูปแบบโฮมสเตย์ สำหรับคนไทยที่ไม่สันทัดกับวิถีแบบจีนโดยเฉพาะเรื่องห้องน้ำปราบเซียน สมชายก็ได้พาเราไปแวะกินข้าวในร้านอาหารบ้านทุ่ง ที่มีกับข้าวอร่อยๆทำสดรสมือชาวบ้านให้เลือกกิน พร้อมตบท้ายกันด้วยสุราพื้นบ้านให้ร้อนท้องวูบวาบเป็นการอุ่นเครื่องก่อนมุ่งสู่ “สะพานฟ้า” หนึ่งในดินแดนมหัศจรรย์ธรรมชาติของเมืองนี้ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2007

การไปชมสะพานฟ้า ทางเมืองจีนมีเส้นทางอันน่าทึ่งให้ “ตะลอนเที่ยว” ได้ตื่นเต้นกับลิฟต์แก้วที่ให้เราดิ่งลึกลงไปในหุบเหวสูงกว่า 80 เมตร จากนั้นก็เป็นเส้นทางเดินเท้าชมทัศนียภาพอันสุดอลังการ




หลุมยุบ สะพานฟ้า
สะพานฟ้า หรือที่บ้างก็เรียกว่า “หลุมฟ้า สะพานสวรรค์” เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกจนกลายเป็นหลุมธรรมชาติขนาดยักษ์ที่เบื้องล่างโดยมีไฮไลท์อยู่ที่ โรงเตี๊ยมโบราณ และ 3 สะพานฟ้า

โรงเตี๊ยมโบราณ เป็นจุดพักระหว่างทางสมัยโบราณ ซึ่งในหลุมหุบเขาแห่งนี้สมัยโบราณถือเป็นเส้นทางลัดจากเสฉวนไปเหอหนาน เมื่อคณะต่างๆเดินทางมาถึงที่นี่ก็จะมาแวะพักค้างแรมที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ เพราะหากเดินทางต่อไปยามค่ำคืนอาจถูกโจรปล้นดักชิงสินค้า สิ่งของ ทรัพย์สินเงินทอง




โรงเตี๊ยมโบราณแห่งสะพานฟ้า
โรงเตี๊ยมโบราณปัจจุบันได้รับการบูรณะใหม่ในรูปแบบเดิม แถมยังโด่งดังขึ้นมาแบบก้าวกระโดดหลังได้รับเลือกเป็นฉากสำคัญทั้งฉากดราม่าและฉากต่อสู้บู๊เลือดสาด ในภาพยนตร์เรื่อง “ศึกโค่นบัลลังก์วังทอง” (Curse of the Golden Flower) ของยอดผู้กำกับ“จาง อี้ โหมว” ที่มี 3 ดาราชั้นนำมาหักเหลี่ยมเฉือนคมความตายกันนำโดย โจว เหวิน ฟะ,เจย์ โชว์ และดาราสาวสวยในดวงใจของ “ตะลอนเที่ยว” คือ “กง ลี่”

ใกล้กับโรงเตี๊ยมโบราณเป็น สะพานฟ้าสะพานแรกคือ “สะพานมังกรฟ้า” ที่มีลักษณะเป็นโพรงทะลุมองคล้ายสะพานขนาดยักษ์เชื่อมสวรรค์กับโลกมนุษย์




สระมรกตในเส้นทางสะพานฟ้า
เมื่อเดินต่อไปก็ได้พบกับ “สะพานมังกรเขียว” ที่มีหน้าผาแหลมทิ่มแงฟ้าและมีเงาสะท้อนน้ำ ซึ่งคนจีนจินตนาการว่าดูคล้ายดาบของกวนอู จากนั้นเมื่อเดินต่อไปก็จะเป็น ไฮไลท์ลำดับสุดท้ายคือ “สะพานมังกรดำ” ที่เป็นตรอกผาในส่วนที่แคบที่สุดจึงมีความมืดทึบดำตามชื่อสะพาน


นอกจากไฮไลท์ทั้ง 4 แล้ว ที่นี่ยังมีน้ำตกสายเล็กไหลลงมา สายน้ำที่ไหลคู่ขนานไป บึงมรกต ละอองน้ำที่เป็นฝอยสวยงามกระเซ็นสายลงมา และทัศนียภาพอันสวยงามแปลกตาของหลุมยุบ ที่มุมมองจะเปลี่ยนไปตามเส้นทาง ชวนให้จินตนาการตามไม่น้อยเลย

และนี่ก็คือเสน่ห์ของฉงชิ่ง เมืองที่นอกจากจะมีภาพอันโดดเด่นโฉบเฉี่ยวของมหานครเนรมิตอันทันสมัยในอันดับต้นๆแห่งแดนมังกรแล้ว ยังเป็นเมืองที่มีสิ่งน่าสนใจทางการท่องเที่ยวทั้งธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม อันทรงคุณค่าในระดับมรดกโลกที่น่าสนใจไม่น้อยเลย

*****************************************

การเดินทางสู่ฉงชิ่ง ปัจจุบันมีสายการบินแอร์เอเชียบินตรง “กรุงเทพฯ-ฉงชิ่ง” ไป-กลับ วันละ 1 เที่ยวบิน เที่ยวไป 06.20-10.20 น. เที่ยวกลับ 11.10-13.10 น. ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2515-9999 หรือดูที่ www.airasia.com

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 เมษายน 2555 16:50 น.

 

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น