วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Sweety โฟร์ซีซั่ม ยลห้องหรู เอาอยู่ค้า....





ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-“ได้พบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 7 โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์จริง แต่เป็นการเข้าพบกันหลายคน เป็นกลุ่ม 6-7 คน มีการพูดคุยกันหลายเรื่องหลายประเด็น ทั้งเรื่องสถานการณ์บ้านเมือง เรื่องเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย การเงิน ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากกว่า”…..

หลังจาก บิ๊กบอสแสนสิริ “พี่นิด-เศรษฐา ทวีสิน” กรรมการผู้จัดการทั่วไป บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) จนด้วยหลักฐานกระทั่งต้องออกมาประกาศยอมรับว่า ได้พบกับ “น้องปู-นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 7 โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ คำถามแรกที่หลายคนอยากรู้และอยากเห็นตามมาก็คือ ที่ชั้น 7 ของโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์นั้นเป็นสวรรค์อย่างเสียงร่ำลือที่ออกมาหรือไม่

จากนั้นก็ตามมาด้วยคำถามที่สองคือ ใครสามารถไปใช้บริการได้บ้าง สนนราคาค่าใช้จ่ายแพงระยับระดับไหน รวมทั้งมีความเลิศหรูอหังการหรือมีบรรยากาศดื่มด่ำและสุดแสนจะโรแมนติกสักเพียงใด

และคำถามปิดท้ายก็คือ นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ได้พบกับนายเศรษฐาสองต่อสองตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ เพราะแม้นางสาวยิ่งลักษณ์จะแถลงผ่านเฟซบุ๊กล่าสุดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมาว่าไปพบกับนักธุรกิจหลายคน แต่สังคมก็ยังไม่เชื่อ เนื่องจากขัดแย้งกับคำให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 ว่า “ไม่ได้ไปประชุมหรอก ในฐานะนายกฯ สามารถเจอกับใครก็ได้”

**ยลสวรรค์ชั้น 7ห้องสวีทสุดหรูสำหรับวีไอพี

ประการแรก ข้อมูลเบื้องต้นที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจร่วมกันก็คือ ผู้ที่จะไปใช้บริการที่ชั้น 7 ของโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ได้ย่อมไม่ใช่ตาสีตาสา หากแต่ต้องเป็นคนมีเงิน และที่สำคัญคือสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีคู่นั้นจะต้องเปิด “ห้องสวีท” สุดหรูเอาไว้เป็นห้องหับห้องหอ หรือเป็นลูกค้าที่เข้ามาพักในโรงแรมอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว

ด้วยเหตุดังกล่าว บทสรุปที่สังคมต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนางสาวยิ่งลักษณ์ นายเศรษฐา หรือคนอื่นๆ จะต้องเป็นลูกค้าของโรงแรมโดยเปิดห้องสวีทเอาไว้ก่อนหน้านี้

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า การเข้าใช้บริการที่ชั้น 7 ของโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ในห้องที่เรียกว่า Executive Club Lounge มีเงื่อนไขสำคัญอยู่ตรงที่ผู้ใช้บริการจะต้องมีการจองห้องพักห้องใดห้องหนึ่งใน 3 ประเภทที่อยู่ในชั้น 7 ซึ่งถูกจัดเป็น "โซนผู้บริหารเฉพาะ" หรือที่เรียกว่า Executive Floor ก่อน โดยในโซนดังกล่าวจะมีคีย์การ์ดเฉพาะแยกต่างหากจากชั้นอื่นของโรงแรม

ทั้งนี้ ห้องพัก 3 ประเภทในชั้น 7 แบ่งออกเป็น
Deluxe View ราคา 13,500 บาทต่อคืน
Premier Club ราคา 18,350 บาทต่อคืน
Four Season ราคา 27,050 บาทต่อคืน(ราคาทั้งหมดยังไม่รวมภาษี)

นอกจากนี้ ข้อมูลในเฟซบุ๊ก “เอกยุทธ อัญชันบุตร” ยังได้โพสต์ข้อความที่น่าสนใจเอาไว้ว่า “ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นชั้น 7 นั้น..หากออกจากลิฟท์เดินเลี้ยวซ้ายจะเข้าสู่ executive lounge ซึ่งใช้สำหรับแขกของโรงแรมที่พักห้อง executive floor หรือห้องสวีทและมีราคาแพงกว่าห้อง deluxe โดยทั่วไป..และในบริเวณ lounge จะมีห้องประชุมไว้ให้บริการอยู่3-4 ห้อง แต่ละห้องใช้ประชุมระหว่าง 4-6 คนและมีเครื่องดื่มและอาหารว่างไว้บริการ..แต่ในชั้นเดียวกันนี้ก็มีห้องพักแบบต่างๆไว้บริการอีกมากมายแล้วแต่กำลังเงินของผู้ใช้..และใน lounge มีประตูที่บริกรใช้สำหรับ service ขนอาหารและเครื่องดื่มซึ่งสามารถเดินออกไปสู่ห้องพักได้หากรู้ทาง..และทางเดินมีกล้อง CCTV เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าพัก แน่นอน..ไม่ต้องให้พวกอยากดังเกาะกระแสพาไปดูหรอกครับ..”

อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามข้อมูลจากอดีตพนักงานของโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ทำให้ได้รายละเอียดเพิ่มเติมด้วยว่า บริเวณชั้น 7 หรือ Executive Floor ถือเป็นชั้นพิเศษเฉพาะสำหรับลูกค้าระดับวีไอพีของโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ โดยหากลูกค้าที่เปิดห้องสวีท ต้องการที่จะใช้บริการ Executive Club Lounge จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก 1,850 บาท+ +(17%)

สำหรับบริการที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ใน Executive Club Lounge ประกอบด้วยห้องประชุม 3 ห้อง ห้องแรกจุคนได้ 6 คน ห้องที่สองได้ 8 คนและห้องที่สามได้ 10 คน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากมาย

“ความพิเศษของผู้ที่พักอยู่ที่ชั้น 7 หรือ Executive Floor ก็คือ เราสามารถเช็คอินและเช็คเอาท์ได้บนชั้นนี้เลย เรียกว่ามีความเป็นส่วนตัวมาก ไม่มีใครเห็น แตกต่างจากลูกค้าปกติที่จะต้องเช็คอินและเช็คเอาท์บริเวณ Front หน้าล็อบบี้ข้างล่าง และหากเราต้องการใช้ Executive Club Lounge พอเราออกมาจากลิฟท์ พนักงานโรงแรมก็จะถามทันทีว่า เรามาพบใคร หรือพักอยู่ที่ห้องไหน ซึ่งถ้าหากว่าเราไม่ใช่ลูกค้า ถามว่ามีสิทธิใช้บริการได้หรือไม่ ได้ แต่ไม่ใช่ว่าใครก็มีสิทธิ มันจะมี 2 คนเท่านั้นที่พาขึ้นไปได้คือ GM และ Social Director” อดีตพนักงานโฟร์ซีซั่นส์แจกแจงรายละเอียด

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนอย่างที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย โชว์รอยหยักในสมองเชลียร์นายด้วยการพานักข่าวไปพิสูจน์ความจริง และหน้าแหกกลับมาเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตจากทางโรงแรม แถมให้สัมภาษณ์ด้วยคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงรอยหยักที่อยู่ในสมองว่า “มันไม่ใช่ห้องพัก ห้องนอน แต่เป็นห้องประชุมจัดเลี้ยงแขกวีไอพี” เพราะในความเป็นจริงแล้ว ชั้น 7 ไม่ได้มีแต่ห้องประชุม หากแต่มีห้องนอนอยู่ด้วย

พุทโธ่เอ๋ย....เป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติในเขตปริมณฑลแท้ๆ ทำไมถึงไม่รู้จักแสวงหาข้อมูลก่อน หรือว่ารู้จักแต่โรงแรมม่านรูดหรือโรงแรมจิ้งหรีดที่คุ้นชินเท่านั้น

อดีตพนักงานโฟร์ซีซั่นส์ให้ข้อมูลที่น่าสนใจยิ่งเพิ่มเติมด้วยว่า โดยปกติแล้วจะมีบุคคลสำคัญในแวดวงธุรกิจ การเมืองและสังคมแวะเวียนเข้าไปใช้บริการที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์เป็นประจำ

แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เป็นพิเศษคือ คนในตระกูลชินวัตรคือขาประจำที่ไปใช้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปรับประทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร นายพานทองแท้ ชินวัตร นางพินทองทา คุณากรวงศ์ หรือนางสาวแพทองธาร ชินวัตร

ดังนั้น จึงอาจอนุมานได้ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์คือผู้ที่เปิดห้องสวีทห้องนั้นเอาไว้ ส่วนจะใช่หรือไม่ ก็คงต้องให้เจ้าตัวเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดในประเด็นนี้เอง เพราะในการเปิดแถลงข่าวผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาไม่ได้ลงรายละเอียดในเรื่องนี้ หากแต่ซ้ำเวียนอยู่แต่กับประเด็นเดิมๆ เท่านั้น

**“ยิ่งลักษณ์” กับมารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนว.5 “อีแอบ” อมความลับที่ชั้น 7 โฟร์ซีซั่นส์

ไปทำอะไร ที่โฟร์ซีซันส์
ทำอะไรกันบอกฉันได้ไหม
ชั้น 7 ว.5 น่าตามติด
มีภารกิจลับลมคมใน ไปทำอะไร ที่โฟร์ซีซันส์

มีคนเขาเห็นว่าเป็นผู้หญิงคนนั้น
คนจึงอยากรู้กัน ไปโฟร์ซีซันส์ไปทำไม
วอ 5 นายก อยากรู้ไปถกกันเรื่องอะไร
ถกถึงชั้นเจ็ดสงสัย ไปถกอะไรที่โฟร์ซีซันส์

มีคนเขาเห็นว่าเป็นผู้หญิงคนเนี๊ยะ
คนจึงอยากเคลีย ไม่อยากให้เสียผู้นำประเทศ
ประโยชน์ทับซ้อน ไปทับซ้อนกันที่บนชั้นเจ็ด
ล่อลับกันจนสรรพเสร็จ อร่อยรสเด็ด เป็ดโฟร์ซีซันส์

มีคนเขาเห็นว่าเป็นผู้นำคนสวย
คนเห็นบางคนถึงซวย เจอหมัดมวยลอบกัดตามเคย
ถ้าแจ้งตำรวจกลัวผู้หมวดกลายเป็นจ่าเฉย
ก็ปล่อยไปเลย ตามเลย อยากให้เฉลยเรื่องโฟร์ซีซันส์

นั่นคือเพลง “โฟร์ซีซั่นส์” ของศิลปิน “โฟล์คเหน่อ” ที่มีเนื้อหาล้อเลียน นางสาวยิ่งลักษณ์กรณีขึ้นไปบน “ชั้น 7” โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ โดยใช้รหัส “ว.5” หรือราชการลับ ซึ่งสะท้อนความรู้สึกของสังคมที่มีต่อนายกรัฐมนตรีได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ เนื่องจากมาจนถึงวันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ยังไม่ตอบคำถามให้ชัดเจนและตรงประเด็น โดยเฉพาะประเด็นในเรื่องที่ไม่ได้พบกันสองต่อสองกับนายเศรษฐา เพราะในแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กล่าสุดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็มิได้ระบุรายชื่อนักธุรกิจที่อยู่ ณ ชั้น 7 ของโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ว่าประกอบไปด้วยใครบ้าง

ที่สำคัญคือในแถลงการณ์อันยาวเหยียดดังกล่าวก็เกิดขึ้นหลังจากที่เกิดเหตุฉาวโฉ่นานถึงกว่า 2 สัปดาห์ กระทั่งทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่า ถ้าหากบริสุทธิ์ใจจริง ทำไมนางสาวยิ่งลักษณ์ถึงปล่อยเวลาให้ยืดยาวเยี่ยงนี้ ทำไมถึงไม่รีบตัดไฟเสียแต่ต้นลมเพื่อให้สังคมคลายความสงสัยว่า นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ใช้เวลาราชการและทิ้งหน้าที่การประชุมสภา ไปปฏิบัติภารกิจอะไร กับใคร อย่างไร ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ซึ่งเป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์แล้วหลังตกเป็นข่าวอื้อฉาว แทนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะออกมาชี้แจงแถลงไขสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสง่าผ่าเผยให้สมกับการเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทย หากมีความมั่นใจว่าภารกิจลับ “ว.5ชั้น7” ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ไม่มีอะไรในกอไผ่ ไม่ได้ไปทำอะไร อย่างที่พวก “ช่างจินตนาการ” เขาโจษขานกันให้ซี้ดไปทั้งเมือง

แม้แต่การตอบกระทู้ของฝ่ายค้านในที่ประชุมสภา ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่สุดที่ “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” จะได้ชี้แจง “เคลียร์” ความบริสุทธิ์ของตัวเองต่อสาธารณชน แต่เธอกลับหนี-ทิ้งโอกาสอันดีไปอย่างน่าเสียดาย แล้วปล่อยให้พลพรรคเพื่อแม้วตีรวนป่วนสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ค้อนปลอมตราดูไบ” อย่างนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภา ที่ทำตัวเอียงกระเท่เร่ปกป้องผู้เป็นน้องสาวของนายใหญ่อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู

แถมยังดูถูกประชาชนด้วยการให้พวกขี้ข้าบริวารที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยออกมาตอบแทนเป็นตุเป็นตะ สะเปะสะปะ มั่วซั่ว พูดไปคนละทิศละทาง หาความจริงไม่ได้ตั้งแต่หัวยันหาง!

อย่าง “เป็ดเหลิม” รองนายกฯ ที่อ้างว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปประชุมร่วมกับบุคคลอีก 7-8 คน แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับบอกว่า “ไม่ได้ไปประชุม” เป็นต้น!

กระทั่งในที่สุด หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก “นายเศรษฐา ทวีสิน” นักธุรกิจหนุ่มใหญ่-เจ้าพ่ออสังหาฯ ก็ยอมออกมา “เปิดปาก” ยอมรับว่าได้พบปะกับ “นายกฯยิ่งลักษณ์” ภายใต้รหัสลับ "ว.5 ชั้น7" ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์จริง โดยมีบุคคลกลุ่มหนึ่งร่วมด้วย และหลังจากนั้นก็เริ่มมีรายงานข่าวอ้างถึงตัวละครใหม่ๆ ที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ "ว.5 ชั้น 7" เพิ่มเติมอีกหลายคน คือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง นายอนันต์ อัศวโภคิน มหาเศรษฐีนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง และผู้บริหารของบริษัทเอสซี แอสเสท ในเครือชินวัตร

โดยบุคคลที่มีรายชื่อข้างต้นล้วนมีปูมหลังที่สัมพันธ์แนบแน่นกับระบอบทักษิณและที่สำคัญยิ่งมี บริษัทเอสซี แอสเสท เครือชินวัตร เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็ยิ่งน่าสงสัย กระทั่งนำมาซึ่งการตั้งข้อสังเกตจากหลายฝ่ายว่า ปฏิบัติการลับๆ ล่อๆ “ว.5ชั้น7” นี้แฝงเบื้องหลังเบื้องลับโยงใยเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ หรือหมกเม็ดนโยบายของรัฐ ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ หรือเกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์ส่วนรวมหรือไม่

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความพยายามเปิดตัวละครใหม่เพิ่มเติมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นอกจากจะไม่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์แล้ว กลับยิ่งทำให้เกิดคำถามมากขึ้นอีกด้วย อย่าง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะเพื่อนซี้ของ นายเศรษฐา ก็ออกมาพูดแบบไม่เต็มปากเต็มคำว่า "ผมอยู่ที่นั่น" ในขณะที่ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ยืนยันว่าเขาเห็นแค่เศรษฐากับยิ่งลักษณ์ เท่านั้นที่ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนของโรงแรม

ส่วน “กิตติรัตน์” นั้น มีพยานหลายปากให้ข้อมูลตรงกันว่า ไปเป็นประธานงานเอสเอ็มอีของธนาคารไทยพาณิชย์ หลังกล่าวปาฐกถาจบก็เดินทางออกจากโรงแรมไปเวลาประมาณบ่ายสองเศษๆ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ “ยิ่งลักษณ์ ว.5” ดอดเข้าโรงแรม!

แล้ว “กิตติรัตน์” จะไปโผล่ในวงสนทนาระหว่างเจ้าพ่ออสังหาฯกับอดีตเจ้าแม่เรียลเอสเตท ที่ผันตัวเองมาเป็น นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ได้อย่างไร

คำถามที่ตามมาคือทำไมนายกิตติรัตน์ถึงพยายามปกป้องนายเศรษฐา

สำนักข่าวอิศราได้ตรวจสอบข้อมูลและพบความจริงอันน่าตื่นตระหนกว่า นายเศรษฐาและนายกิตติรัตน์มีความเชื่อมโยงกันในทางธุรกิจ กล่าวคือ บริษัท คาเธ่ย์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งทำธุรกิจให้คำแนะนำปรึกษาทางธุรกิจ ให้คำแนะนำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งมีนายกิตติรัตน์ ถือหุ้นใหญ่ 1,390,000 หุ้น(ณ วันที่ 8 มีนาคม 2544) ปรากฏชื่อบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 500,000 หุ้น

ทั้งนี้ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร่วมกับนายกิตติรัตน์เรื่อยมากระทั่งวันที่ 29 มิ.ย.2547 ได้โอนหุ้นให้นางเกสรา ณ ระนอง ภรรยานายกิตติรัตน์ ก่อนที่หุ้นของนายกิตติรัตน์ และนางเกสรา จะถูกโอนให้กองทุนส่วนบุคคล นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง โดย บลจ.กรุงศรี จำกัด และ กองทุนส่วนบุคคล นางเกสรา ณ ระนอง โดย บลจ.กรุงศรี จำกัด หลังนายกิตติรัตน์ เข้ารับตำแหน่งรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพณิชย์ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา

และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ การทำตัวเป็น “อีแอบ” เอาความเป็นเพศหญิงมาเป็นเกราะป้องกัน “บังหน้า” ใช้มารยาหญิงหลายร้อยเล่มเกวียน “ออดอ้อนออเซาะ” ขอความเห็นใจ เบี่ยงเบนประเด็น อาศัยความเป็นเพศหญิงของตัวเองเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปกป้องตัวเองจากการตรวจสอบ และที่มารยาสาไถยเป็นที่สุดก็คือ การที่เธอเที่ยวกล่าวหาคนอื่นที่วิพากษ์วิจารณ์ "นายกรัฐมนตรี" ว่าเป็นพวกข่มเหงรังแกเพศหญิง โถ...!

ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้อาศัยตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พูดในงานเปิดตัวกองทุนพัฒนาสตรี ว่า "ปัจจุบันยังมีหลายฝ่ายมองสตรีในมุมที่เสียหาย ดิฉันมองว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ ที่เห็นคนไทยข่มเหงหญิงไทย โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากหญิงไทยเพื่อให้ได้เปรียบทางการเมือง ดังนั้น จึงขอความร่วมมือทุกฝ่ายควรให้เกียรติเพศสตรี และช่วยกันส่งเสริมบทบาทสตรีไทยให้มีศักยภาพที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น"

และยังเขียนลงเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra บอกว่า "อยากให้สังคมไทยให้เกียรติซึ่งกันและกันโดยไม่คำนึงถึงเพศ สีผิว หรือถิ่นกำเนิด ตลอดจนการเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์... ที่เศร้าใจกว่านั้นคือการที่คนไทยด้วยกันดูถูกดูแคลนกันเองเพื่อความได้เปรียบในเรื่องทางเพศ การงาน หรือแม้แต่ประโยชน์ของตนเองและทางการเมือง"

คำถามก็คือ ใช่หรือไม่ว่า นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย กำลังอ้างความเป็น “ผู้หญิง” เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองอย่างชัดเจน เอาเพศหญิงมาบังหน้า เพื่อปิดบังอำพรางการกระทำของตนเองมิให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกตรวจสอบ พฤติกรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เวลานี้ จึงไม่ต่างอะไรกับการจับ "เพศหญิง" โดยเฉพาะ “หญิงไทย” มาเป็นตัวประกัน!

ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พยายามเบี่ยงประเด็นว่าสาธารณชนกำลังดูถูกความเป็นเพศหญิง ซึ่งถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่โง่หรือเมาจนต้องให้แกนนำเสื้อแดงมาประคองกาย ก็จะรู้ว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นเพศหญิงหรือชาย แต่สาระสำคัญอยู่ที่ตำแหน่ง “นายกฯ” คือ ความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ความสุจริต โปร่งใส และสามารถตอบข้อข้องใจของสาธารณชนได้อย่างกระจ่างชัด ไม่ใช่เอะอะอะไรก็อ้างว่า “รังแกผู้หญิง” เอาความเป็นเพศหญิงมาอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบ

อย่างไรก็ตาม ปมเงื่อนที่สำคัญยิ่งน่าจะอยู่ตรงที่คำให้สัมภาษณ์ครั้งแรกของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ทำเนียบรัฐบาล

“ไม่ได้ไปประชุมหรอก ในฐานะนายกฯ สามารถเจอกับใครก็ได้และที่สำคัญไปสถานที่เปิดเผย ไม่ได้เสียหายอะไร”

คำพูดดังกล่าวคือร่องรอยของข้อพิรุธที่สำคัญยิ่ง เพราะแม้ว่าในภายหลังจะมีการแก้เกมทางการเมืองที่เริ่มต้นจาก ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งระบุชัดเจนให้เสร็จสรรพเรียบร้อยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปประชุม จากนั้นบรรดาข้าทาสของตระกูลก็ออกมาโห่ร้องไปในทำนองเดียวกัน กระทั่งแม้แต่เจ้าตัวเองในที่สุดก็ “พลิกลิ้น” เขียนผ่านเฟซบุ๊กยาวเหยียดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ว่า ไปประชุมเช่นกัน แต่ไม่สามารถทำให้สังคมเชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปประชุมจริง

เพราะถ้าหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีความบริสุทธิ์ใจและไปประชุมจริง โดยทำเพื่อบ้านเมืองและไม่ต้องการให้เป็นข่าว ก็สามารถกระทำในสถานที่ที่เหมาะสมกว่านี้ได้ ไม่ใช่ไปประชุมในโรงแรม และโดดการประชุมสภาโดยใช้รหัสลับ ว.5

ถ้าไม่ต้องการปกปิดเป็นความลับ ก็สามารถใช้ทำเนียบรัฐบาล บ้านพิษณุโลก ที่หน่วยงานราชการที่ไหนก็ได้ แล้วก็ไม่เห็นมีความจำเป็นเร่งด่วนอะไรถึงกับต้องโดดประชุมสภา

แต่ถ้าต้องการปกปิดเป็นความลับก็น่าจะใช้สถานที่หรือเซฟเฮาส์ที่เหมาะสมมากกว่านี้ ทำไมถึงต้องไปพบกันที่โรงแรม แถมยังเป็นโรงแรมสุดหรูระดับ 5 ดาวอย่างโฟร์ซีซั่นส์ และยังใช้ executive lounge ซึ่งผู้มีสิทธิใช้จะต้องเปิดห้องพักราคาแพงระยับเอาไว้

ที่สำคัญคือ พฤติกรรมการไปใช้โรงแรมระดับหรูเป็นสถานที่นัดพบของน.ส.ยิ่งลักษณ์ครั้งนี้ ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ นช.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายซึ่งมักนิยมชมชอบไปทำลับๆ ล่อๆ ที่โรงแรมสุโขทัยอย่างไรอย่างนั้น

ยิ่งเมื่อนำมาเชื่อมโยงกับการที่เจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์ “นายเอกยุทธ อัญชันบุตร” ถูกทำร้ายร่างกายภายหลังจากพบเห็นน.ส.ยิ่งลักษณ์และนายเศรษฐาที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นข้อผิดสังเกต เพราะต้องไม่ลืมว่านายเอกยุทธเป็นผู้กว้างขวางและรอบรู้ข้อมูลในเชิงลึกในแวดวงไฮโซหรือผู้มีอันจะกินไม่น้อย

สุดท้าย สิ่งที่จะทำให้สังคมเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ใจของน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น ย่อมหลีกหนีไม่พ้นภาพจากวงจรปิดที่บันทึกภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้ว่า ใครบ้างที่ขึ้นไป ณ สวรรค์ชั้น 7 ของโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์

คำถามคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล้าที่จะนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนหรือไม่





โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 25 กุมภาพันธ์ 2555 07:36 น.





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น