คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น |
|
|
|
|
โลกไซเบอร์ร้อนระอุทันที่อดีตพระเอกกล้ามโต 'บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์' ประกาศกร้าวด่าทอพวกที่ตัดต่อรูปภาพ และโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง นอกจากสิ่งที่เขาโพสต์ขึ้นมาบน facebook/Bin Banloerit จะทำให้เขาถูกวิจารณ์ต่างๆ นานา คนบางกลุ่มถึงขั้นรวมตัวกันแบนหนัง 'ปัญญา เรณู ภาค 2' แต่ก็ยังมีคนกลุ่มใหญ่ที่เห็นว่าเขาเป็นฮีโร่ กล้าพูด กล้าทำ ซึ่งเขาบอกกับ M-Lite ว่า ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยกลัวอะไรเลยนอกเสียจาก “กลัวคนไทยไม่รักกัน ไม่สามัคคีกัน”
ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ “ไอ้พวกสัตว์นรกชอบทำความแตกแยกคนไทยด้วยกัน...ฯลฯ” ถ้อยคำรุนแรงบนโลกไซเบอร์ด่าทอกลุ่มคนที่ตัดต่อรูปภาพ และโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกพูดถึง และมีการโต้ตอบกันอย่างรุนแรงในสังคมออนไลน์
"ผมเปิด facebook มาประมาณ 3-4 ปีแล้ว เป็นคนอัปเดตข่าวเองทั้งหมด แต่มาวันหนึ่ง ผมมาเปิดดู มีพวกที่โพสต์ภาพพระองค์ท่าน เอามาตัดต่อ ผมด่าพวกมันเป็นสัตว์นรก ผมพูดอย่างนี้จริงๆ ผมทนไม่ได้ ผมถือว่าผมเป็นประชาชนคนหนึ่ง จะมานั่งเฉยๆ โดยเห็นพระองค์ท่านโดนด่า โดยไม่มีใครมาปกป้องพระองค์ท่าน ผมทนไม่ได้
มีคนมาพูดว่าเสื้อแดงเอารูปพระองค์ท่านลง ผมว่ามันไม่ใช่ ผมก็เลยต้องออกมา ให้รู้ว่าคนไทยหลายๆ สียังรักในหลวง ยังเทิดทูนพระองค์อยู่ คนที่มันมีแค่กลุ่มน้อย มีไม่ถึงกี่พันคนหรอกที่มันคิดอย่างนี้ ผมไปช่วยน้ำท่วม ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลืองทั้งหมด บ้านเสื้อแดงหลายบ้าน ผมไปอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ปทุมธานี แถบพื้นที่ที่พี่น้องคนเสื้อแดงเยอะ แต่ทุกบ้านก็ยังมีรูปในหลวง มีรูปพระราชินี ยังเทิดทูนพระมหากษัตริย์ ใครที่มาเชียร์ให้เทิดทูนพระมหากษัตริย์ก็ไปโจมตีเขา ไปด่าเขาเสียๆ หาย พวกนี้มันพวกสัตว์นรกมาเกิด
ตั้งแต่สมัยตอนที่มีสีนู่น สีนี่แล้ว ผมไม่เคยไปยุ่งนะ ผมไม่เคยไปพรรคการเมืองไหนนะ ไม่เคยเกี่ยวข้อง ผมเป็นกลางอยู่แล้ว แต่ใครอย่ามาแตะต้องพระองค์ท่าน พระองค์ท่านไม่ได้เกี่ยวกับสีไหนอยู่แล้ว”
แบนหนังผม “ปัญญาอ่อน” "ผมว่าโลกออนไลน์มันก็เป็นดาบสองคม ซึ่งถ้าทำในสิ่งที่ดีมันก็ดี ทำในสิ่งที่ไม่ดีมันก็กระจายกันออกไป เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่จิตวิญญานของคนว่าคุณจะทำอะไรกับตรงนี้เท่านั้นเอง คุณสามารถใช้ประโยชน์ได้มากมาย คุณอาจจะโดนถล่มทลายได้เหมือนกัน ถ้าทำในสิ่งที่ไม่ดี ทุกวันนี้ผมก็โดน
เรื่องโดนแบนหนัง ผมมองว่าตลก เอาสมองส่วนไหนคิดจะมาแบนหนังผม คุณเป็นใครจะมาแบนหนังผม พี่น้องคนอีสาน รู้ว่าปัญญา เรณูเป็นหนังของอีสาน เป็นหนังที่เชิดชูคนอีสานเลยแหละ เด็กๆ พูดอีสานหมด แล้วบอกผมไปดูถูกคนอีสาน...ดูถูกตรงไหน? พี่น้องเสื้อแดงในอีสานก็มีส่วนหนึ่ง ไม่ใช่เสื้อแดงก็มีอีกส่วนหนึ่ง แต่พี่น้องชาวอีสานหลายๆ หมู่บ้าน ที่ผมไปสัมผัสมาก็ยังเทิดทูนพระมหากษัตริย์อยู่
ถ้าจะบอกว่าทำหนังปัญญา เรณูออกมาแล้วมาดูถูกคนอีสาน มีคำพูดตรงไหนสักคำของผมไหมว่าพูดถึงคนเสื้อแดง...ไม่มีเลย ผมพูดถึงแค่ไอ้คนที่มาทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าสัตว์นรก ผมไม่ได้บอกว่าพี่น้องเสื้อแดง พี่น้องเสื้อแดงนี่ผมเคารพทุกคน ไปที่บ้านผมเห็นมีรูปในหลวง ผมรู้ว่านี่เป็นเสื้อแดงที่รักในหลวง ผมไม่ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับใคร แต่อย่างที่บอกไง อย่ามาแตะต้องพระองค์ท่าน
จริงๆ เรื่องศิลปะกับเรื่องการเมืองมันไม่เกี่ยวข้องกันเลย คุณต้องคิดดีๆ ไอ้พวกที่คิดอย่างเนี้ย เขาเรียกสมองขี้เลื่อย ไม่มีสมองคิด เราออกมาปกป้องสถาบันเมื่อไหร่ ไอ้คนที่มันด่ามันวิ่งพล่าน มารุมด่าผม ตามเว็บไซต์ ตามอะไรต่างๆ ผมไม่กลัวหรอก คนชั่วๆ ด่าผม ผมรู้สึกว่าเหมือนให้พร ถ้าคนดีด่าผม ผมต้องคิดว่า เขาดีแล้วมาด่าเรา แสดงว่าเราต้องไม่ดีแล้วล่ะ แต่ไอ้พวกชั่วๆ ด่า มึงด่าไปเลย มีปัญญาด่าไปเลย จะขุดคุ้ยเรื่องไหน ก็ขุดคุ้ยมาเลย ผมไม่กลัวอยู่แล้ว
ผมเจออย่างนี้ผมยิ่งหนัก ถ้าผมโพสต์ไปแล้ว ใครมาอะไรผม ผมจะเอามันหนัก แต่ผมโพสต์ไปแล้ว ไม่มีใครมายุ่ง นั่นโอเค แสดงว่าไม่มีใครมายุ่ง ผมจะว่าแรงๆ มันก็ไม่มีใครมายุ่งแล้ว แต่ก็ได้ยินว่าเอาไปโพสต์ตามเว็บพวกของเขา ก็ตามสบาย แต่อย่ามายุ่งในแฟนเพจผม มันต้องให้มารยาทกันหน่อยทางสังคม ถ้าคุณคิดว่าไม่เคยล้มเจ้า คุณก็อย่ามายุ่งกับผมสิ คุณมายุ่งกับผมทำไม ผมว่าแต่พวกที่มันจะทำสิ่งที่ไม่ดีกับประเทศชาติเท่านั้นเอง
ผมไม่เคยกลัว เขาบอกเหมือนอ๊อฟ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) เหมือนตั้ว (ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) ผมก็ต้องโดนเหมือนกัน ผมบอกเลย ผมไม่กลัว ผมเป็นคนๆ หนึ่งที่จะคอยขัดขวาง ไอ้พวกที่มันจะทำชั่ว เราเป็นคนของประชาชน เรารักสถาบันพระมหากษัตริย์ เรารักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของไทย เพราะฉะนั้นใครที่จะมาทำให้มันแตกแยก จะแบ่งอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นอันตรายกับเราขนาดไหน ถ้าจะตายก็ขอให้มีอนุสรณ์ เก็บไว้ในความทรงจำของพี่น้องประชาชนคนไทย นี่คือผู้ที่เสียสละ ให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทย ผู้ที่ยอมเสียสละตัวเอง เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง
สำหรับหนังปัญญา เรณู 2 ที่กำลังเข้าฉายนี้ ผมก็อยากจะได้กำลังใจ สิ่งที่ดีๆ ที่พี่น้องประชาชนมอบให้ผม เพราะผมเองก็มอบสิ่งดีๆ ให้พี่น้องมาแล้ว ก็อยากได้กำลังใจกลับมาบ้าง"
สื่อความรัก ความสามัคคีจากในหนัง สำหรับหนังปัญญา เรณู ภาค 2 เรียกว่าเป็นเวอร์ชั่น 2 ถึงจะถูก เพราะใครที่ยังไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน ก็ดูภาคนี้ได้รู้เรื่อง หนังของเขายังคงมีกลิ่นอายความน่ารักของคนอีสาน มีเรื่องราวที่ทั้งสนุก ตลก เศร้า ครบรสเช่นเดิม "ความเป็นหนังของปัญญา เรณู ยังเหมือนเดิม มีตุ๊กกี้กับหม่ำ มาสร้างสีสัน ยังคงความสนุก ยังมีกลิ่นอายความน่ารักของวัฒนธรรมอีสาน คนที่ดูปัญญา เรณูภาคแรกที่ชอบแล้ว มาดูภาคสองจะยิ่งชอบมากกว่า"
ถ้าใครที่เคยดูปัญญา เรณูภาคแรกมาก่อน จะพบว่าหนังของเขา ถ่ายทอดความน่ารัก มีกลิ่นอายของความรัก หวนคิดถึงความทรงจำสมัยเด็กๆ ซึ่งเป็นอีกมุมหนึ่งของความทรงจำในอดีตที่พระเอกคนนี้ตั้งใจนำความประทับใจมาใส่ไว้ในหนัง
"บททั้งหมดเป็นจินตนาการของเรา ผสมผสานกับเรื่องจริงในชีวิต เราเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างในชีวิต ตั้งแต่สมัยเราเป็นเด็ก ความทรงจำสมัยเราเรียนกับเด็กอีสานที่เป็นเพื่อนเรา มีเหตุการณ์ประทับใจ มีเหตุการณ์ที่น่าจดจำ คนดูหนังผมแล้วอาจจะคิดถึงความทรงจำวัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็นคนอีสาน หรือคนกรุงเทพฯ ชีวิตวัยเด็กต้องเคยผ่านประสบการณ์พวกนี้มาแน่ๆ”
หลังจากเคยลองผิดลองถูก คลุกคลีอยู่ในวงการภาพยนตร์มานาน สุดท้ายเขาพบว่าหนังแนวปัญญา เรณู เรื่องราวเกี่ยวกับเด็ก เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต เป็นแนวที่เขาถนัด และอยากทำมากที่สุด
"ผมเคยทำหนังตลกจ๋ามาแล้ว เรื่องเดอะโกร๋น มันรู้สึกว่าไม่ถูกใจเรา มันเป็นหนังตลกจริง คนดูอาจจะชอบ แต่กลุ่มของเด็ก กลุ่มครอบครัว มันดูได้ไม่สนิทใจ หนังตลกมันต้องมีคำหยาบคาย ถ้าตลกแล้วไม่หยาบ มันก็ดูทะแม่งๆ มันจะพูดเพราะก็คงไม่ได้ ก็เลยคิดว่าเราถนัดหนังอย่างนี้มากกว่า หนังเด็กๆ อยากสื่อเรื่องความรัก ความสามัคคี สื่อถึงความตั้งใจของคนๆ หนึ่ง ถ้าเราตั้งใจจริงๆ แล้ว ความตั้งใจนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างความรักของปัญญากับเรณู เรณูมีความรักให้ปัญญาอย่างล้นหลาม ไม่ว่าปัญญาจะทำขัดใจอย่างไรก็แล้วแต่ เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงกับความคิดของเขา เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วทำให้เขามีความสุข ในภาคอีสานจะเห็นว่า คนภาคอีสานจะมีความสามัคคี มีความซื่อสัตย์ มีสิ่งที่ดีๆ ซึ่งในหนังก็จะสื่อเรื่องราวเหล่านี้ออกมา"
“ทำงาน” ไม่มีคำว่าเหนื่อย อย่างที่หลายคนเห็นว่าผู้ชายคนนี้ทำงานหนักมาตลอด ทำหน้าที่อาสาสมัครฯ ออกไปช่วยเหลือคนถึงตี 2-3 กว่าจะได้กลับบ้าน จึงอดถามไม่ได้ว่าเขามีช่วงเวลาที่เหนื่อย หรือรู้สึกท้อบ้างหรือเปล่า ซึ่งคำตอบของเขายิ่งทำให้เห็นถึงความเป็นคนสู้ชีวิตในเรื่องของความอดทน และทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเต็มความสามารถ
"เวลาเหนื่อย เวลาท้อ มันแทบไม่ค่อยมีจริงๆ แต่ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อย แต่พอเราทำตรงนั้นเสร็จแล้ว มันก็หายเหนื่อย พอเราพักผ่อนมันก็หาย เราก็ย้อนกลับมาดูบุคคลที่เราชื่นชอบ ชื่นชม เทิดทูนบูชา สิ่งที่ผ่านมาเขาทำอะไรมาเยอะแยะมากมาย ไม่เห็นเขาจะเหนื่อย ทำไมเราทำแค่นี้เราบ่นเหนื่อย
ผมทำงานตั้งแต่เช้า กลับบ้านตี 2-3 กลับมานอน ตื่นเช้าก็สามารถไปทำงานได้อีก ไม่ใช่เหนื่อยไป 3-4 วัน แล้วมาทำใหม่ เวลาเหนื่อยมันแป๊บเดียว ส่วนเรื่องท้อ ผมไม่เคยท้อ ผมเป็นคนทำอะไรแล้วตั้งใจ ต้องทำให้เสร็จ และสำเร็จ ทำงานเพื่อให้เสร็จไปวันๆ มันทำง่าย แต่ทำเสร็จแล้วคุณภาพดี และมีฟีดแบ็กกลับมาดีมันทำยาก เพราะฉะนั้นมันต้องใช้เวลา เรียกว่าชินกับความเหนื่อย เพราะเจอทุกวัน วันไหนไม่เหนื่อยนอนไม่หลับ"
"หลักในการทำงานของผม คือต้องใช้สมอง ใช้ส่วนทุกส่วนของทุกคนที่ทำงานร่วมกับเรา เอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย ทำงานอย่างเป็นระบบ เป็นทีม ใครมีความคิดเห็นอะไร เสนอแนะมาได้ เราเอามาไตร่ตรอง อย่างผมเขียนบท ผมให้ทุกคนดูเลยว่า เป็นอย่างไร บางคนมีข้อโต้แย้งเราก็มาดู เราก็ยอมรับ ทำอย่างนี้การทำงานก็จะไม่มีอุปสรรค เราอย่าไปดันทุรังเวลามีคนมาเตือน"
พอถามว่าเวลาทำงานเป็นคนมีอีโก้ไหม เขารีบตอบ "ผมเป็นคนไม่มีอีโก้เลย เป็นคนติดดิน สบาย ๆ อะไรก็ได้ แต่บางครั้งก็มีจุดๆ หนึ่งที่มาอย่าแตะต้องกัน ผมเป็นคนที่อยู่ไหนก็อยู่ได้ กินอะไรก็กินได้ พูดอะไรก็รับได้หมดประมาณนี้"
เห็นความจริงช่วงวิกฤตน้ำท่วม "น้ำท่วมที่ผ่านมา ทำให้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง เห็นทั้งความสามัคคี เห็นทั้งความแตกแยก เห็นความมีน้ำใจ ซึ่งน้ำท่วมครั้งนี้มันทำให้เห็นเลยว่าคนดีก็มี คนดีก็คือดีจริงๆ คนที่ไม่ดีก็ยังไม่ดีอยู่ ถ้าน้ำมันท่วมแป๊บๆ เราคงไม่เห็นอะไร แต่นี่มันท่วมมาเป็นเดือนๆ ทุกอย่างมันออกมาหมด คนต้องการอะไร คนอยากจะได้อะไร อยากจะช่วยเหลือใคร ความเห็นแก่ตัว การเอาตัวรอดมันมีไง ความไม่สามัคคีกัน
ผมรู้สึกว่า ทำไมไม่รักกัน ทำไมต้องมาแบ่งกัน เกิดวิกฤตขนาดนี้ทำไมต้องมาแบ่งแยก แบ่งอะไรกัน การทำงานของเราก็ลำบาก เราบอกเราส่วนกลาง ไม่ใช่ว่าจะต้องมาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทุกคนเสมอเท่ากันหมด ใครคือประชาชนของประเทศไทย เราไปช่วยเหลือเท่าเทียมกันหมด สิ่งเดียวที่มูลนิธิฯ มีอยู่คือพระองค์ท่าน คือสุดยอดของพวกเราทุกคน เพราะฉะนั้นวิกฤตน้ำท่วมผมถึงไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่เห็นความสามัคคีกัน ทำไมไม่ช่วยเหลือกัน ทำไมต้องมาแตกแยกกันทำไม"
เหตุการณ์ช่วงน้ำท่วมที่ถูกพูดถึง และวิจารณ์มากที่สุด คือเรื่องการทำงานของศปภ. ซึ่งก็มีพระเอกตัวจริงคนนี้นี่แหละที่กล้าออกมาพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมากับสื่อฯ ว่าอะไรผิดถูกก็ว่ากันไปตามความจริง
"บ้านเมืองเรานะ ถ้าจะกลัวอะไรที่เป็นความจริงแล้วออกมาพูด มันไม่ใช่แล้วล่ะ คุณอย่ามาปิดบังสังคม อะไรที่เป็นความจริงแล้วคุณผิดพลาด คุณต้องออกมายอมรับความผิดพลาด แล้วคุณแก้ตัวใหม่ ไม่ใช่ว่าคุณผิดพลาดแล้วมาบอกอย่างนั่นอย่างนี้ ปกปิดความผิดของคุณไม่ใช่ ผมออกมาพูดเนี่ย ผมไม่ได้เกลียดใครในพรรคการเมือง หรือรัฐบาลใครทั้งนั้น ผมมาในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ผมมาในฐานะผมเป็นอาสาจากมูลนิธิฯ แต่สิ่งของที่ผมเห็นอยู่มันมากมาย มีทั้งน้ำ มีห้องน้ำ ผมถามว่าคุณจะเก็บไว้ทำไม มันเป็นของบริจาคมา ควรจะแจกจ่ายให้ประชาชน ถึงผมเอาไปผมก็จะบอกว่านี่คือของจากศปภ. มาแจก ไม่ใช่เอามาเป็นชื่อของบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ มันไม่ใช่ ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก ผมถึงกล้าออกมาพูดว่า สิ่งที่คุณทำมันไม่ถูก ผมขอแล้ว แล้วคุณก็รับปากว่าจะให้ แต่คุณไม่รับสาย คุณไม่อะไรกับผมเลย อย่างนี้คุณทำถูกเหรอ แล้วพอทุกอย่างพังหมดแล้วคุณจะให้ผมไปเอา แต่ผมก็ต้องไปเอา เพราะว่ามันมีความสำคัญ"
พระเอกทั้งในจอ-นอกจอ สิ่งที่เขาตั้งใจทำเพื่อสังคมโดยไม่หวังผลตอบแทนมาโดยตลอดนี่เอง ทำให้เขาถูกเรียกว่าพระเอกตัวจริง เป็นพระเอกทั้งในจอและนอกจอ บ้างก็ยกให้เขาเป็นฮีโร่ เป็นไอดอล เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่ติดอยู่ในใจจนไม่อาจยอมรับคำเยินยอเหล่านั้นได้ คือเรื่องที่เคยติดการพนันฟุตบอล จนเขาต้องออกมายอมรับความจริงกับสังคมว่าเคยทำผิด และอยากออกมาเตือนว่าอย่าทำผิดพลาดแบบเขาอีก
"ทุกคนมาสรรเสริญเยินยอว่าเราคือพระเอกตัวจริง เราคือพระเอกนอกจอ แต่เวลาคนอื่นมาเรียกเรารู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว ไม่ชอบ เพราะมีสิ่งหนึ่งที่มันติดอยู่ในใจ และผมก็ออกมารับผิดชอบ ออกมาบอกให้สังคมรู้ว่าผมทำผิด เพราะว่าถ้าไม่พูด ไม่บอก มันเป็นอะไรที่อึดอัด ผมก็เลยต้องออกมารับความจริง เรื่องการพนันฟุตบอล ผมเคยเล่นอยู่ประมาณ 17 ปี เป็นสิ่งที่ไม่น่าทำเลย”
บทบาทที่เห็นคือเขาเป็นผู้กำกับหนัง และเป็นเจ้าหน้าที่อาสาฯ ของมูลนิธิร่วมกตัญญู โลโก้ของเขาคือช่วยเหลือคน ซึ่งงาน 2 อย่างนี้ คือสิ่งที่เขารัก และอยากทำไปตลอด "งานผู้กำกับฯ เราทำเพราะเป็นสิ่งที่เราชอบเราก็เลยทำ เราอยู่วงการบันเทิงมากว่า 30 ปี เราก็อยากใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำงานตรงนี้ เป็นรายได้ของตัวเรา เป็นสิ่งการันตีว่าเราไม่ทิ้งวงการฯ เพราะเรารู้ว่าวงการฯ นี้คือผู้ที่มีพระคุณกับเรา ถ้าไม่มีวงการฯนี้ชื่อบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ คงไม่ได้เกิด
ส่วนงานมูลนิธิฯ มันเป็นสิ่งที่เรารัก เราทำโดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน ไม่มีหวังว่าจะได้บุญ ไม่หวังจะได้โล่ เพียงแค่หวังว่าตัวเองมีความสุขที่ได้ทำ มันคือสิ่งที่เราหาคำตอบมาทั้งชีวิตว่าถ้าเราไม่เล่นหนังแล้วเราอยากจะทำอะไร
ตอนเด็กเวลาผู้ใหญ่ถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมไม่เคยให้คำตอบกับตัวเองได้เลยว่าอยากเป็นอะไร ตำรวจ ทหาร นายธนาคาร สจ๊วต หรืออะไร ไม่เคยรู้คำตอบเลย พอมาเล่นหนังเราบอกตัวเองว่าสิ่งนี้หรือเปล่าที่เราอยากทำ...ไม่ใช่ เพราะวันหนึ่งเราไม่มีหนังเล่นแล้ว เราก็ไม่ได้ทำอะไร นอนอยู่บ้านเฉยๆ จนวันหนึ่งได้ออกมาเก็บศพ ออกมาช่วยเหลือคน นั่นคือคำตอบในชีวิตว่าสิ่งนี้แหละ ที่เราต้องการมาทั้งชีวิต แต่เราหาคำตอบไม่เจอว่ามันคืออะไร
ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นพระเอกหนังเลย ผมก็ทำ ผมทำสิ่งพวกนี้มาตั้งแต่เด็กๆ มันเป็นอะไรที่ถูกพ่อแม่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก สอนให้เป็นคนดีของสังคม ผมกล้าพูดได้เลยว่าในชีวิต 50 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยทำอะไรให้ใครเดือดร้อน ผมไม่เคยทำอะไรให้รกแผ่นดิน ผมไม่เคยทำอะไรให้คนต้องมาสาปแช่ง หรือว่าต้องมาด่าลับหลังผม"
ภาพที่เห็นพระเอกนอกจอคนนี้คือเป็นเขาฮีโร่ออกมาช่วยเหลือชาวบ้านแบบไม่เกรงกลัวภยันตรายใดๆ ไม่ว่าจะเป็นจับงู จับจระเข้ หรือแม้กระทั่งเข้าไปชาร์ตถึงตัวคนร้าย
"ผมไม่เคยกลัวอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว การที่เราออกมาจับงู จับจระเข้ จับสัตว์ต่างๆ มันเป็นงานของมูลนิธิฯ ซึ่งชาวบ้านทุกข์ และขอความช่วยมาทางมูลนิธิฯ แล้วเราเป็นอาสาสมัครคนหนึ่ง เราจะนิ่งอยู่เฉยทำไม แม้แต่สุนัขติดอยู่ในท่อ แมวติดอยู่ในกันสาด เราสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้หมด เพราะเรารู้ว่าหนึ่งชีวิต เขาก็รักชีวิตเขาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น แม้แต่กระรอก กระแตตัวหนึ่งเราก็ไป ขอให้ไกลแค่ไหน แล้วไม่มีใครไปช่วยเราก็ต้องไป ผมไม่กลัวอะไรเลย แม้แต่ผีสาง แต่กลัวอย่างเดียว กลัวว่าคนไทยไม่รักกัน กลัวที่สุด"
ชีวิตคือความไม่ประมาท ในฐานะเป็นผู้ที่เห็นความตายมาเยอะ เขาจึงอยากเตือนให้ระมัดระวังในเรื่องของการใช้ชีวิต โดยเฉพาะความประมาท เพราะเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้คนเสียชีวิตมานักต่อนัก
"ชีวิตคนเรา มันเกิดความเป็นความตายได้ทุกวินาที เพราะฉะนั้นการที่เราจะใช้ชีวิต ต้องระมัดระวัง อย่าประมาทกับชีวิตของเรา วันนี้เจอกัน พรุ่งนี้ อ้าว! ตายแล้วเหรอ มันเกิดขึ้นได้ตลอด ทุกคนรักชีวิต แต่ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่คุณทำ มันเป็นการบั่นทอนชีวิตของตัวเอง อย่างคุณสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า แล้วขับรถ คุณประมาทไปทำโน่นทำนี่โดยที่ไม่เซฟตัวเอง มันทำให้ชีวิตมันไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นการดำเนินชีวิตต้องไม่ประมาท การใช้ชีวิตของผมจะไม่ประมาท และผมรู้สึกว่าทุกครั้งที่ไปไหนก็แล้วแต่ ทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์ให้แก่สังคมมากที่สุด ทำอย่างไรจะไม่เอาเปรียบสังคมเลย เราเป็นผู้ให้ดีกว่าเป็นผู้รับ
สิ่งที่ดีที่สุดคือเราต้องมีคุณธรรม มีจริยธรรม มีธรรมประจำใจ คุณต้องสวดมนต์บ้าง ต้องเมตตา กรุณา ปราณี ให้แก่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกนี้ด้วยกัน จิตใจที่ดีมันจะตามมา รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำไปมันน่าภาคภูมิใจแค่ไหน เทียบกับสิ่งที่เราทำไปแล้วมันรู้สึกอับอาย ไม่น่าทำอีกเลย มันจะมีความแตกต่างกันมาก"
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น