วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

ห่าปีระกา

 " โรคห่า" เป็นชื่อโรคที่ชาวบ้านเรียกกันมาแต่โบราณกาล ซึ่งก็คือ อหิวาต์ (อหิวาตกโรค) นั่นเอง โรคห่าเป็นโรคท้องร่วงร้ายแรง และระบาดได้รวดเร็ว ในสมัยก่อนพบว่าการระบาดแต่ละครั้งมีการตายเป็นร้อยเป็นพัน ในปัจจุบันโรคนี้ได้ลดความรุนแรงลง และพบระบาดน้อยลง โรคนี้มักพบในช่วงฤดูร้อน และพบในหมู่คนที่การสุขาภิบาลยังไม่ดี

ในตำนานไทยมักกล่าวถึงโรคห่า ซึ่งโรคห่าที่แท้ก็คือโรคที่มีการตายกันมากๆ รวดเร็ว สำนวนไทยเรียกว่าห่าลงหรือห่ากิน แสดงถึงความเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงและน่ากลัวมาก ซึ่งได้แก่ อหิวาต์ ฝีดาษ เป็นต้น



สารบัญ


ห่าปีระกา

ภาพ:โรคห่า.jpg

โรคห่าปีระกา เกิดขึ้นในยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดอหิวาตกโรคระบาดในกรุงเทพ ฯ เรียกกันว่า“ห่าปีระกา” เกิดขึ้นในช่วงระหว่าง 17 มิถุนายน ถึง 15 กรกฎาคม 2392 และในวันที่ 24 มิถุนายน 2392 เป็นวันที่มีคนตายมากที่สุดถึง 700 ศพ เฉพาะที่เผาที่วัดสระเกศ วัดสังเวช วัดบพิตรพิมุข

ในอดีตโรคห่า หรืออหิวาต์ เป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรง มีผลทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก บางยุคสมัยผู้คนถึงกับต้องอพยพย้ายถิ่นฐานเพื่อหลีกหนีจากโรคร้าย ส่งผลให้เกิดเมืองร้าง ดังเช่น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในอีกหลายยุค ดังนี้



 โรคห่าในยุคสมัยของ พระเจ้าอู่ทอง

ตำนานพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงสาเหตุการอพยพสร้างเมืองใหม่ของพระเจ้าอู่ทองว่า เมืองเดิมเกิดภัยพิบัติ แม่น้ำเปลี่ยนทางเดิน เกิดโรคห่าระบาด ทำให้เกิดการอพยพผู้คนออกจากเมืองเดิม เพื่อแสวงหาทำเลที่ตั้งเมืองใหม่ที่บริเวณหนองโสน เป็นสภาพที่ลุ่ม มีแม่น้ำ ๓ สายไหลผ่านคือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี และภายหลังสถาปนาเป็นเมืองหลวงชื่อพระนครกรุงศรีอยุธยา โรคห่าระบาดในครั้งนั้นน่าจะเป็นครั้งร้ายแรง ผู้คนคงล้มตายมาก และถึงขั้นทิ้งเมืองให้ร้าง ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือน้ำ คือการขาดแคลนน้ำ ทำให้เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคระบาดในครั้งนั้นด้วย

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง)(พ.ศ.๑๘๙๓-๑๙๑๒) ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๑๘๙๓ ยังมีหลักฐานถึงการขุดศพเจ้านาย ๒ พระองค์ที่เป็นโรคห่าในครั้งนั้นขึ้นมาเผาตามโบราณราชประเพณี



 โรคห่าในยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2)

ในสมัยรัชกาลที่ 2 เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ในเมืองไทยเรียกว่าโรคห่า(อหิวาต์) ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงของโลกก็ว่าได้ เรียกกันว่า Thai Cholera Epidemic 1820 ผู้คนตายถึงสามหมื่นคน

มีคนตายเป็นจำนวนมากเผาไม่ทันเลยนำศพออกไปนอกกำแพงเมืองไปทิ้งที่วัดสะเกศ โดยออกทางประตูด้านใกล้วัด ประตูนั้นเลยถูกเรียกว่า "ประตูผี" เพราะเป็นประตูที่นำศพคนตายออกไปเป็นจำนวนมาก

โรคระบาดในยุคนั้นในวัดสระเกศมีศพกองเต็มไปหมด และเกลื่อนกลาดบนท้องถนน แล้วก็หาคนมายกศพไม่ได้เพราะผู้คนอพยบหนีโรคระบาดกันไปหมด อีกแร้งจึงมากินซากศพอย่างอิ่มหมีพีมัน ปกติแค่ศพสองศพก็แย้งกันกินแล้วแต่ครั้งนี้กินยังไงก็ไม่หมด ทำให้วันสระเกศมีอีแร้งเยอะมาก จึงมีคำเรียกผู้ที่รุมทึ่งชาติบ้านเมืองว่า "แร้งวัดสระเกศ" แต่ทุกวันนี้ในเมื่อไม่มีศพให้มันกินแรงมันก็ไปหมด


 ตำนานเรื่องหนีโรคห่า

เป็นตำนานเล่าถึงความเป็นมาของการเกิดโรคห่าหรืออหิวาตกโรคในกรุงศรีอยุธยาในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ผู้เล่าเรื่องนี้คือนายซ้อน ดอกกุหลาบ อยู่ตำบลบ้านรุน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ชายสองคนเป็นสหายกัน เมื่อเรียนวิชาจากสำนักพระเจ้าตาสำเร็จแล้วก็สัญญากันว่าจะช่วยเหลือกันแม้ชีวิต แล้วเดินทางกลับบ้านเมืองของตน ในระหว่างทางที่มาด้วยกันนั้นบังเอิญไปพบบ่อทองเข้า หลังจากตกลงวิธีการที่จะช่วยเหลือกันแล้วชายผู้หนึ่งก็ได้กระโดดลงไปในบ่อทอง อีกคนหนึ่งก็ช่วยดึงขึ้นจากบ่อทอง ปรากฏว่าชายคนที่อยู่ในบ่อทองมีร่างกายชุบทองสวยงามอร่ามตา แล้วอีกคนหนึ่งก็อยากมีร่างกายที่สวยงามอย่างเพื่อนบ้าง ก็กระโดดลงไปทันที

ชายผู้ที่มีร่างกายเป็นทองแล้วก็คิดว่า ถ้าเพื่อนจะมีร่างกายเหมือนตน คนทั้งหลายเห็นตัวเป็นทองทั้งสองคนก็จะไม่เห็นอัศจรรย์ จึงปล่อยให้เพื่อนจมอยู่ในบ่อทองนั้น ส่วนตัวเขาเมื่อกลับถึงเมืองก็ได้รับการยกย่องเป็นเจ้าแผ่นดินชื่อว่า "พระเจ้าอู่ทอง"

ในละแวกบ่อทองนั้นมีฤาษีผู้วิเศษองค์หนึ่งเดินมายังบ่อทอง เห็นเป็นฟองผิดปกติจึงตรวจค้นดู ก็พบศพชายที่ถูกเพื่อนทิ้ง ด้วยความสงสารจึงชุบชีวิตขึ้นมาแล้วถามความเป็นไป พอทราบความจึงอนุญาตให้ขอเป็นอะไรก็ได้เพียงอย่างเดียวตามแต่จะปรารถนา ชายผู้ที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาก็บอกกับฤาษีด้วยความเคียดแค้นชิงชังว่า ขอเป็นห่าตามล้างเพื่อนให้จงได้ พระฤาษีจึงเนรมิตให้เป็นห่า แต่มีข้อแม้ว่าให้ติดตามเพื่อนไปได้เพียงวันละก้าวอย่างนกเขา ห่าตัวนี้ติดตามด้วยความพยาบาท ในที่สุดก็ทันจนได้ จึงเกิดโรคห่าลงเมืองอู่ทอง จนพระเจ้าอู่ทองต้องอพยพผู้คนหนีข้ามทุ่งไปสร้างเมืองใหม่ที่อยุธยา จวบจนกลายมาเป็นกรุงศรีอยุธยาด้วยประการฉะนี้



ขอขอบคุณข้อมูลจาก



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น