วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

ข่าวเด่นวันที่9 มกราคม 2555

ม็อบค้านขึ้น NGV ขีดเส้นตาย ภายใน 12.00 น.วันนี้ รัฐบาลต้อยกเลิกมติ ครม. ขึ้นราคาแก๊ส NGV และ LPG ไม่เช่นนั้นจะยกระดับการชุมนุม ขณะที่การปิดถนนหลายจุดทำการจราจรเมืองกรุงติดหนัก


ขีดเส้นตาย 12.00 น. ม็อบค้านขึ้น NGV ขู่ยกระดับการชุมนุม

กลุ่มสหกรณ์แท็กซี่จากกลุ่มต่างๆ กว่า 30 กลุ่ม ทยอยมารวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่เวลา 05.00 น. จากนั้นในเวลาประมาณ 06.00 น. กลุ่มรถแท็กซี่ประมาณ 100 คัน ได้เคลื่อนขบวนจากลานพระบรมรูปทรงม้าไปยังทำเนียบรัฐบาลฝั่งถนนพิษณุโลก และจอดรถจนเต็มช่องจราจรฝั่งขาออกทั้งหมดมุ่งหน้าแยกยมราช โดยมีการเปิดเวทีปราศรัยเคลื่อนที่ และนำรถแห่ขบวนโลงศพข้างโลง ระบุชื่อ “นาย NGV” มาร่วมขบวนด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปิดการจราจรบนถนนพิษณุโลกฝั่งขาออก ตั้งแต่แยกมิสสักวันไปจนถึงแยกพณิชยการพระนคร ขอให้ประชาชนที่ต้องใช้รถใช้ถนนเลี่ยงไปใช้เส้นทางถนนราชดำเนินแทน

ล่าสุด ประธานกลุ่มสหกรณ์แท็กซี่สยาม แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม ได้ขึ้นเวทีอ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 2 โดยขอความชัดเจนเรื่องคำตอบที่ขอให้รัฐบาลและกระทรวงพลังงานยกเลิกมติ ครม. เรื่องการปรับขึ้นราคาแก๊ส NGV และ LPG หากไม่ได้รับคำตอบใดๆ ภายในเวลา 12.00 น. จะเตรียมยกระดับการชุมนุม และอาจมีการเคลื่อนขบวนไปยังจุดอื่นๆ ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่อผู้ใช้รถใช้ถนนเพิ่มขึ้น จึงขอให้รัฐบาลเร่งหาข้อยุติในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน

ขณะที่สถานการณ์การปิดถนนหน้าสำนักงาน ปตท. ถนนวิภาวดีรังสิต ล่าสุด รถบรรทุก รถเมล์ และรถสองแถวที่ร่วมชุมนุมคัดค้าน การขึ้นราคา NGV กว่า 200 คัน ได้เริ่มยกระดับการชุมนุม โดยเพิ่มการปิดถนนหน้าสำนักงาน ปตท. ถนนวิภาวดีรังสิต ช่องทางคู่ขนาน จนไม่สามารถใช้การได้แล้ว ขณะที่ด้านถนนพหลโยธิน หน้าสวนจตุจักร ได้เพิ่มการปิดช่องทางจราจร จาก 1 เป็น 2 ช่องทาง โดยด้านถนนวิภาวดีรังสิตได้ปิดถนนตั้งแต่หน้า ปตท. ไปจนถึงวัดสเมียนนารี ใช้ได้เพียงช่องทางด่วน และทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ทำให้ล่าสุด ทาง ปตท.ได้ประกาศให้พนักงานสามารถปฏิบัติงานที่บ้านได้

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แนะเส้นทางหลีกเลี่ยงกลุ่มผู้ชุมนุม โดยผู้ที่จะใช้ถนนวิภาวดีรัวสิตขาออก แนะให้ใช้ถนนโลคัลโรด ช่องทางด่วนด้านใน หรือขึ้นทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ จะสะดวกที่สุด พร้อมทั้งได้เตรียมเจ้าหน้าที่กว่า 200 นาย ดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจรแล้ว.








ระทึก! สาวออสซี่โดด’บันจีจัมพ์’เชือกขาด ดิ่ง 111ม. แต่รอด

เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับหญิงชาวออสเตรเลียรายหนึ่ง โดยขณะที่เธอเล่นบันจีจัมพ์นั้น เชือกที่เปรียบเหมือนเส้นชีวิตกลับขาด จนเธอตกลงไปในแม่น้ำเบื้องล่าง แต่เคราะห์ดีรอดชีวิตมาได้…


ระทึก! สาวออสซี่โดด'บันจีจัมพ์'เชือกขาด ดิ่ง 111ม. แต่รอด

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 9 ม.ค. ว่า เกิดอุบัติเหตุระทึกกับหญิงสาวออสเตรเลีย ผู้เดินทางไปท่องเที่ยงยังประเทศซิมบับเวในช่วงวันปีใหม่ และได้เล่นกิจกรรมยอดฮิต ‘บันจีจัมพ์’ บนสะพานเหนือแม่น้ำแซมเบซี แต่ขณะที่เธอกำลังดิ่งลงไปนั้น เชือกบันจีกลับขาด ทำให้เธอตกลงไปในแม่น้ำซึ่งต่ำกว่าจุดที่เธอกระโดดถึง 111 เมตร และเต็มไปด้วยจระเข้ ขณะที่คนอื่นๆได้แต่ตะลึงมอง

น.ส.เอริน แลงเวอร์ธี วัย 22 ปี ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ระทึกขวัญ เล่าว่า แม้ขาของเธอจะถูกมัดด้วยเชือกบันจี แต่เธอก็พยายามตะเกียกตะกายว่ายน้ำไปจนถึงฝั่ง”เรียกได้ว่าปาฏิหาริย์ ที่ฉันรอดชีวิตมาได้” แลงเวอร์ธีกล่าว



แหล่งข่าว ไทยรัฐออนไลน์



“ปู” เรียกถก รมต.ด่วน รับมือม็อบ-ปธ.สมาพันธ์ขนส่ง ขีดเส้นเที่ยงวันต้องคืบ





หน้าตึก ปตท. ผู้ประกอบการรถบรรทุกและรถร่วมฯ ทยอยรวมตัวชุมนุมแล้วกว่า 100 คัน ส่วนลานพระบรมรูปทรงม้า รถแท็กซี่เริ่มชุมนุมแล้วเช่นกัน ตร.แนะเลี่ยงเส้นทางถนนวิภาวดีฝั่งขาออก และแยกมิสกวัน ถึงแยกนางเลิ้ง

วันนี้ 9 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่ผู้ประกอบการรถบรรทุก และรถร่วม ขสมก. นัดรวมตัวหน้าอาคารสำนักงานบริษัท ปตท. กระทรวงพลังงาน เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการปรับขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) นั้น เมื่อเวลาประมาณ 04.00 น. ที่สำนักงานใหญ่ ปตท. ถนนวิภาวดีรังสิต ในช่องทางคู่ขนานขาออก มีรถเมล์ รถบรรทุก และรถสองแถวมาชุมนุมแล้วรวมประมาณ 120 คัน

ทางด้าน บก.จร.ได้แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทางถนนวิภาวดี ฝั่งขาออก มุ่งหน้ารังสิต ในช่องทางคู่ขนาน หน้า ปตท.สำนักงานใหญ่ โดยให้ใช้ช่องทางด่วน หรือโทลล์เวย์ จะได้รับความสะดวกกว่า

ส่วนอีกจุดที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่เวลา 06.10 น. รถแท็กซี่ก็เริ่มทยอยมาชุมนุมแล้วเช่นกัน โดยเรียกร้องขอให้รัฐบาลทบทวนการปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวีและแอลพีจี รวมถึงให้เพิ่มจำนวนสถานีบริการและปรับปรุงการให้บริการและคุณภาพก๊าซ และขอให้การปรับราคาก๊าซในอนาคต เปิดโอกาสให้ผู้ขับแท็กซี่มีส่วนร่วม เจ้าหน้าที่ตำรวจแนะนำให้หลีกเลี่ยงการจราจรช่วงแยกมิสกวัน ถึงแยกนางเลิ้ง และให้ใช้เส้นทางถนนราชดำเนิน และถนนศรีอยุธยาแทน

ด้าน นายยู เจียรยืนยงพงศ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กลุ่มผู้ประกอบการรถบรรทุก รถร่วม ขสมก. และรถสองแถวที่มาชุมนุมที่ถนนวิภาวดีรังสิต ด้านหน้าอาคาร ปตท.สำนักงานใหญ่ วันนี้ เพื่อต้องการให้รัฐบาลทบทวนมติการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV ราคา 6 บาทต่อกิโลกรัม และจะเริ่มปรับขึ้น 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม ในวันที่ 16 มกราคมนี้ ซึ่งผู้ประกอบการมีความเดือดร้อน ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20-25 โดยหากช่วงเวลา 12.00 น.วันนี้ ยังไม่ได้รับการติดต่อ หรือความชัดเจนจากกระทรวงพลังงาน ทางกลุ่มจะประชุมหารือร่วมกันเพื่อยกระดับการชุมนุม

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานได้ส่งนายศิริศักดิ์ วิทยอุดม รองปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นตัวแทนหารือร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งจะเชิญกลุ่มผู้ชุมนุมขึ้นไปหารือร่วมกันที่กระทรวงพลังงานในวันนี้

สถานการณ์การชุมนุมล่าสุด กลุ่มผู้ชุมนุมได้ปิดถนนเลนคู่ขนานบริเวณด้านหน้าอาคาร ปตท.แล้ว ขณะที่ถนนพหลโยธินนั้นได้ขยายการปิดช่องจราจรอีก 1 ช่องทาง

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มผู้ประกอบการรถสาธารณะและรถบรรทุกบริเวณถนนวิภาวดีรังสิตและถนนพหลโยธินในขณะนี้ว่า มีการขึ้นเวทีปราศรัยโจมตี ปตท. ระบุว่าต้นทุนที่ ปตท.คำนวณออกมาโดยเฉพาะค่าขนส่งและค่าบริหารเกือบ 6 บาทต่อกิโลกรัม เป็นราคาที่ไม่เป็นธรรม เพราะราคาที่รถบรรทุกคำนวณต่ำกว่ามาก ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับสูตรปรับราคาที่จะขึ้น 6 บาทต่อกิโลกรัมในปีนี้ หรือทยอยเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม

ปตท.พร้อมแจงต้นทุนการบริหาร ยันอุ้มภาระขาดทุนตลอด

ทั้งนี้ นายเติมชัย บุนนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.ระบุว่า ต้นทุนการขายของปตท.หน้าปั๊มในขณะนี้ เท่ากับ 15.50 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้นการจำหน่ายในอัตรา 8.50 บาท จึงเป็นอัตราที่ขาดทุน และ ปตท.พร้อมให้พิสูจน์ต้นทุนการขนส่งและบริหารจัดการจากสถานีแม่ไปสถานีลูกที่มีต้นทุนประมาณ 5 บาทต่อกิโลกรัม

นายกฯ ถกด่วนรับมือม็อบค้านขึ้นราคาก๊าซ

ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์, นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน, อธิบดีกรมการขนส่งทางบก พร้อมด้วยผู้บริหาร บมจ.ปตท.(PTT) เข้าหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีกลุ่มผู้ขับรถรับจ้างและรถบรรทุกออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการปรับขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติ (NGV) และก๊าซ LPG โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง




โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มกราคม 2555 07:55 น



ดีเดย์ 1 พ.ค.เก็บค่าโดยสารบีทีเอสอ่อนนุช-แบริ่ง 15 บาท




“ธีระชน” เผย กทม.เล็งเก็บค่าโดยสารบีทีเอสอ่อนนุช-แบริ่ง 5 สถานีแค่ 15 บาท เริ่ม 1 พ.ค.นี้

นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงการพิจารณาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท ตอนที่ 1 อ่อนนุช-แบริ่ง ระยะทาง 5.25 กิโลเมตร ว่า กทม.และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) ได้สรุปโครงสร้างอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท ตอนที่ 1 อ่อนนุช-แบริ่ง แล้ว ใน 5 สถานี ได้แก่ บางจาก (E10) ปุณณวิถี (E11) อุดมสุข (E12) บางนา (E13) แบริ่ง (E14) โดยจะจัดเก็บในอัตราค่าโดยสาร 15 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.นี้ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ที่ผ่านมา คณะผู้บริหาร กทม.ได้มีมติยกเว้นการจัดเก็บอัตราค่าโดยสาร ตั้งแต่วันที่เปิดให้บริการ คือ วันที่ 12 ส.ค.2554 จนถึง 1 ม.ค.2555 และที่ประชุมคณะผู้บริหาร กทม.ยังได้ขยายเวลายกเว้นการเก็บค่าโดยสารไปจนถึงสิ้นเดือน เม.ย.นี้ เนื่องจากเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย เมื่อปลายปี 2554 อย่างไรก็ตาม เคที เห็นว่า โครงสร้างอัตราค่าโดยสารดังกล่าวเป็นอัตราที่มีความเหมาะสม สำหรับอัตราค่าโดยสารในเส้นทางสายหลักนั้นจะใช้อัตราค่าโดยสารเดิม ตามโครงสร้างของบริษัท บีทีเอส

นายธีระชน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กทม. สามารถเปิดให้บริการโครงการระบบไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ส่วนต่อขยายสายสีลม (วงเวียนใหญ่-บางหว้า) ระยะทาง 5.3 กิโลเมตร ได้ในวันที่ 5 ธ.ค.2555 แต่จะเปิดให้ใช้บริการใน 2 สถานีก่อน ได้แก่ สถานีโพธิ์นิมิตร (S9) สถานีรัชดา-ราชพฤกษ์ (S10) ส่วนอีก 2 สถานี ได้แก่ สถานีวุฒากาศ (S11) และปลายทางสถานีบางหว้า (S12) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณจุดตัดถนนราชพฤกษ์ กับถนนเพชรเกษม เขตภาษีเจริญ นั้น ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้พร้อมกัน เนื่องจากติดปัญหาการลงพื้นที่ก่อสร้างที่เกิดจากการซ้อนทับโครงสร้างสถานีระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียว กับสายสีน้ำเงิน ของ รฟม.ซึ่งอาจจะเป็นปัญหา อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้จะเชิญ รฟม.มาหารือในเรื่องดังกล่าว

ส่วนอัตราการจัดเก็บค่าโดยสารในเส้นทางนี้ ยังไม่ได้มีการกำหนด อย่างไรก็ตาม การกำหนดอัตราค่าโดยสาร ใน 2 สถานีดังกล่าว ต้องรอผู้บริหาร กทม.ชุดใหม่ พิจารณาต่อไป เนื่องจากผู้บริหารชุดปัจจุบันที่มี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.จะหมดวาระในเดือน ม.ค.2556




โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์



คูปองแหกตาของกระทรวงพลังงาน ฉากบังหน้าการปล้น 100 ล้านของโจรหน้าห้อง




นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แถลงข่าวโครงการช่วยเหลือด้านพลังงานแก่ประชาชาชนและผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาอุทกภัย ซึ่งรวมทั้ง มหกรรมสินค้าฉลากเบอร์ 5 ด้วย เมื่อวันที 21 ธ.ค.ปีที่แล้ว

สำหรับข้าราชการกระทรวงพลังงานนับตั้งแต่ปลัดกระทรวง นายณอคุณ สิทธิพงษ์ และ รองปลัดกระทรวง ลงมาจนถึงอธิบดี ผู้อำนวยการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ระดับกลาง พนักงานชั้นผู้น้อย ปัญหาความวุ่นวายอันเนื่องมาจากคูปองส่วนลดเครื่องใช้ไฟฟ้า 2,000 บาท ที่กระทรวงพลังงานแจกให้ประชาชนที่ประสบอุทกภัย เพื่อนำไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นสิ่งที่พวกเขารู้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นในรูปแบบไหนเท่านั้น เพราะพวกเขารู้ดีว่า โครงการนี้เป็นโครงการกำมะลอที่นักการเมือง ฉวยโอกาสใช้ความเดือดร้อนของประชาชนที่ถูกน้ำท่วม แต่งเรื่องปั้นโครงการเพื่อล้วงงบประมาณหลวง เงินที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันมาเข้ากระเป๋าตัวเอง

ลับหลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ผู้ชอบท่องคาถาซ้ำซากทำนองว่า “รวยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องโกง” บรรดาผู้บริหารในกระทรวงเตือนกันเองว่า อย่าเอาชีวิตราชการที่เหลืออยู่ไปเสี่ยงกับโครงการพรรค์อย่างนี้ โดยมีเสียงสำทับว่า “คุก คุกนะโว้ย” แล้วก็ปล่อยให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยแบกภาระรับหน้าเสื่อกันเอาเอง เผชิญกับม็อบของประชาชนที่พบว่า คูปองส่วนลด 2,000 บาท มีข้อจำกัดการใช้มากมาย จนรู้สึกว่าถูกแหกตา

โครงการคูปองส่วนลดเครื่องใช้ไฟฟ้านี้ เกิดขึ้นอย่างรีบเร่ง ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน เพื่อฉวยโอกาสเอาความเดือดร้อนของประชาชนที่ถูกน้ำท่วมมาเป็นเครื่องมือในการหากิน ด้วยการจัด “มหกรรมสินค้าเบอร์ 5 เยียวยาผู้ประสบภัย” ขึ้นที่ศูนย์การค้าไบเทค บางนา และศาลากลางจังหวัด 26 จังหวัดที่ถูกน้ำท่วม ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2554 - 4 มกราคม 2555 ผู้ที่มีหลักฐานว่าบ้านถูกน้ำท่วม สามารถไปรับคูปองส่วนลดมูลค่า 2,000 บาทในงานเพื่อนำไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ากับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ

เมื่อผู้ที่ได้รับคูปองนำคูปองไปใช้ ก็พบว่า จะได้รับส่วนลด 2,000 บาท เฉพาะกรณีที่ซื้อเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ขนาด 5.9 คิวขึ้นไป และทีวีที่มี standby power 1 วัตต์เท่านั้น ถ้าซื้อสินค้าอื่นจะได้รับส่วนลดไม่ถึง 2,000 บาท เช่น พัดลมลดได้ 200-300 บาท หม้อหุงข้าวลดได้ 200 บาท เตาแก๊สลดได้ 500-800 บาท เป็นต้น นอกจากนี้ ร้านค้าจำนวนมากปฏิเสธไม่รับคูปองเพราะไม่ได้เข้าร่วมโครงการ อีกทั้งไม่มีหลักประกันว่าจะเอาคูปองไปขึ้นเงินได้จริงหรือไม่ เพราะดูแล้วเลื่อนลอย เหมือนคูปองเถื่อน

ปัญหาเหล่านี้ทำให้ผู้ที่ได้รับคูปองรู้สึกว่าถูกแหกตา จึงเกิดการรวมตัวปิดถนนเพื่อประท้วงที่มหาชัย จังหวัดสมุทสาคร และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำหรับจังหวัดอื่นๆ ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่มีการชุมนุมประท้วงให้เป็นข่าวเท่านั้น

การอ่อนประชาสัมพันธ์เงื่อนไขรายละเอียดในการใช้คูปอง ถูกยกขึ้นมาอ้างว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนไม่เข้าใจ จนเกิดการชุมนุมประท้วง ซึ่งเป็นความจริงเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น แต่ความจริงทั้งหมดก็คือ โครงการนี้ไม่ได้เกิดขี้นจากความตั้งใจความเต็มใจของกระทรวงพลังงานที่จะช่วยผู้ประสบอุทกภัย แต่เป็นโครงการที่จำใจต้องทำ เพราะถูกบีบบังคับจากบรรดาคนที่อยู่หน้าห้องติดสอยห้อยตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ต้องการดึงเอางบประมาณจากหน่วยงานในกระทรวงมาจัด “มหกรรมสินค้าเบอร์ 5 เยียวยาผู้ประสบภัย” ด้วยการวางแผนของ บริษัทรับจัดงานอีเวนต์โนเนมชื่อ “ฟีนิกซ์” ซึ่งจับเสือมือเปล่า ไม่มีอะไรเลย มีแต่สายสัมพันธ์กับนายพชร นริพทะพันธ์ โฆษกกระทรวงพลังงาน ลูกที่ใหญ่กว่าพ่อในกระทรวง

โครงการนี้ผ่านการแก้ไขเปลี่ยนแปลงทีโออาร์หลายรอบ เพราะถูกทักท้วงจากข้าราชการว่าผิดกฎหมาย ถึงขั้น “คุกนะโว้ย” ในที่สุดแล้วก็ออกมาเป็นการแจกคูปองเพื่อนำไปซื้อสินค้าติดฉลากเบอร์ 5 เพื่อให้เข้าเงื่อนไขการใช้เงินจากกองทุนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อสนับสนุนกิจกรรม/โครงการ ที่เป็นการประหยัดพลังงาน โดยเอาโครงการไปยัดเยียดให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เป็นเจ้าของโครงการ

นายพิชัยแถลงว่า ตั้งเป้าหมายว่าจะมีผู้มารับคูปอง 1 ล้านครัวเรือน คิดเป็นเงิน 2,000 ล้านบาท ที่จะต้องชดเชยคืนกลับไปให้ร้านค้า ซึ่งเป็นเงินมิใช่น้อย อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานไม่เคยมีคำตอบว่าเงิน 2,000 ล้านบาทนี้จะมาจากไหน ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเป็นใคร มาจากไหน จะมีกลไกป้องกันการทุจริตอย่างไร เพราะโครงการนี้เป็นเพียงฉากบังหน้า เป้าหมายที่แท้จริงคือ การล้วงเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงาน 100 ล้านบาท มาจัดงาน “มหกรรมสินค้าเบอร์ 5”

ประจักษ์พยานแห่งความกำมะลอของโครงการนี้ คือ คำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารบริษัทเพาเวอร์บาย จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ว่า เพาเวอร์บายไม่ได้เข้าร่วมโครงการ เพราะรายละเอียดของโครงการไม่ชัดเจน ไม่เคยมีการชี้แจง และเรียกผู้ประกอบการไปหารือแม้แต่ครั้งเดียว เมื่อรับคูปองไปแล้วจะไปรับเงินจากหน่วยงานใดก็ไม่มีคำตอบ มีแต่การประกาศผ่านสื่อเท่านั้น

การจัดงานอีเวนต์ ประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ผลงานของหน่วยงาน เป็นวิธีการคอร์รัปชันที่ง่าย ได้เงินเร็ว ตรวจสอบยาก และไม่สามารถวัดผลสำเร็จของการใช้เงินได้เลย จึงเป็นวิธีโกงวิธีหนึ่งที่นักการเมืองชอบใช้ โดยมีบริษัทที่จัดงานอีเวนต์ และข้าราชการประจำช่วยชี้ช่องจัดการวางแผนให้ว่าจะต้องทำอย่างไร นักการเมืองมีหน้าที่ชงเรื่องให้ผ่าน บีบบังคับข้าราชการให้ทำตาม แล้วคอยรับค่าตอบแทน หรือ kick back ซึ่งอยู่ในอัตรา 30% ของมูลค่าโครงการทันทีที่มีการเซ็นสัญญาหรือมีการจ่ายเงิน แล้วแต่ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน

โครงการคูปองแหกตานี้ ใช้งบประมาณในการจัดงาน 100 ล้านบาท เป็นเงินที่ล้วงหรือปล้น เอามาจากกองทุนอนุรักษ์พลังงาน เป็นเงินที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันลิตรละ 1 สลึงเข้ากองทุนฯ บริษัทที่มีชื่อว่าเป็นออแกไนเซอร์อย่างเป็นทางการ คือ “เวอร์คพอยท์ เอนเตอร์เทนเมนท์” เพราะบริษัทฟีนิกซ์ เป็นบริษัทโนเนม ไม่มีผลงานใหญ่ๆ ที่เป็นไปตามเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้าง จึงใช้เวอร์คพอยท์เป็นนอมินี ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่บริษัทนี้เคยใช้กับโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ที่เชิดเอาบริษัทออแกไนเซอร์เล็กๆ แห่งหนึ่งเป็นผู้รับงาน มูลค่า 35 ล้านบาท ในวันเปิดตัวมีแท็กซี่่มารวมงาน 150 คัน แต่ บริษัท ปตท.เจ้าของเงิน ยินดีและเต็มใจแลกกับที่นายพิชัยให้ขึ้นค่าแก๊สเอ็นจีวีได้

โครงการคูปองแหกตา ซึ่งปล้นเอาเงิน 100 ล้านบาท จากกองทุนอนุรักษ์พลังงงานไปจัดงานที่ศูนย์ไบเทค และศาลากลางจังหวัด 26 จังหวัดนี้ ใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ ไม่มีการประมูล กระทรวงพลังงานไม่กล้าเปิดเผยว่าใครได้งานนี้ไป งานที่ศูนย์ไบเทคจัด 9 วัน มีแต่รายการบันเทิงที่จัดตามศาลากลาง 26 จังหวัด ไม่ใช่การจัดงานออกร้าน แต่เป็นการตั้งโต๊ะแจกคูปอง ไม่มีค่าสถานที่ ค่าใช้จ่ายถ้าจะมีก็คือเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ ไม่มีใครเคยเห็นสปอตประชาสัมพันธ์งานนี้ตามทีวี เพราะเลือกซื้อโฆษณาเวลาดึกๆ ราคาถูกๆ

งบประมาณ 100 ล้านบาทที่ปล้นเอาจากผู้ใช้น้ำมัน หลังจากจ่ายค่านอมินีให้เวอร์คพอยท์ฯ หักค่าเช่าศูนย์ไบเทค ค่าจ้างนักร้อง ค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์ราคาถูกๆ แล้ว ท่านคิดว่าบริษัทฟีนิกซ์ และนักการเมือง หน้าห้อง รัฐมนตรีที่รวยแล้วไม่โกง จะได้แบ่งกันฝ่ายละเท่าไร

นายพิชัยเองก็เผลอยอมรับความล้มเหลวของโครงการนี้โดยไม่ตั้งใจ โดยกล่าวว่ามีประชาชนมาขอคูปองเพียงประมาณ 20% เท่านั้น คิดเป็นมูลค่า 400 ล้านบาท หรือประมาณ 2 แสนครัวเรือน น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2,000 ล้านบาท หรือ 1 ล้านครัวเรือน แต่แทนที่จะยอมรับความจริงว่า เป็นโครงการที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน หรือ อย่างน้อยที่สุด ลองตรวจสอบดูว่าความกลวงของบริษัทฟินิกซ์ เป็นสาเหตุแห่งความล้มเหลวหรือไม่ กลับส่งสัญญาณว่าจะเปิดทางให้มีการปล้นรอบที่ 2 โดยจัดงานแจกคูปองขึ้นอีกในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้

นายพิชัยอาจจะไม่รู้เห็นกับการปล้นนี้ก็ได้ เพราะระหว่างห้องทำงานกับหน้าห้อง มีประตู มีผนังกั้นอยู่ จึงไม่รู้ว่าหน้าห้องทำอะไรกันบ้าง ทำไมไม่อาศัยความเป็นพ่อลูก ถามโฆษกกระทรวงพลังงานดูว่า เรื่องที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนี้ จริงหรือเท็จอย่างไร

ถ้านายพิชัยเชื่อว่าตัวเองและพวกพ้องไม่ได้โกง กล้าเปิดเผยไหมว่า ใครคือออแกไนเซอร์งานมหกรรมสินค้าเบอร์ 5 เยียวยาผู้ประสบภัย ใช้งบประมาณเท่าไร เงินมาจากไหน ใช้เงินไปทำอะไรบ้าง เพราะงานก็จบไปแล้ว น่าจะเปิดเผยกันได้ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีของนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ไม่โกง เพราะรวยจนใช้ไม่หมดอยู่แล้ว

กรณีแจกคูปองแหกตา เพื่อบังหน้าการปล้นเงิน 100 ล้านบาทของผู้ใช้น้ำมันนี้ เป็นเพียงหนังตัวอย่างที่เกิดขึ้นในกระทรวงพลังงานเท่านั้น เรื่องจริงกำลังทยอยตามมาอีกหลายๆ เรื่อง เพราะขณะนี้หน่วยงานต่างๆ รวมทั้งรัฐวิสาหกิจของกระทรวง กำลังถูกล้วงลูก ควานหางบจัดกิจกรรม ประชาสัมพันธ์ว่ามีอยู่ตรงไหนบ้าง เพื่อวางแผนปล้นครั้งต่อๆ ไป



โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มกราคม 2555 09:00 น.





“วรวัจน์” แจงมติ ครม.เพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว ไม่รวมพนักงาน-ลูกจ้าง







“วรวัจน์” ชี้ มติ ครม.ปรับเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว ไม่รวมพนักงาน/ลูกจ้าง ที่จ้างโดยเงินรายได้มหา’ลัย เผย หากให้ครอบคลุมต้องหารือกันอีกครั้ง ขณะที่ มหา’ลัย ส่วนใหญ่แก้ปัญหาใช้เงินรายได้มาจ้างไปก่อน “สุขุม” เชื่อ มหา’ลัย ขนาดเล็ก หรือที่เพิ่งตั้งใหม่ได้รับผลกระทบแน่นอน

ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติตาม จัดสรรงบประมาณเพื่อเบิกจ่ายค่าครองชีพชั่วคราวของพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างโดยเงินงบประมาณแผ่นดิน ที่บรรจุ หรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่กำหนดคุณสมบัติต้องใช้ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป และมีอัตราเงินเดือน หรืออัตราค่าจ้างไม่ถึงเดือนละ 15,000 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้วต้องไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท ให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยทั้ง 15,902 คน ในมหาวิทยาลัยทั้งหมด 77 แห่ง ซึ่งให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 นั้น

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า การปรับครั้งนี้จะไม่รวมพนักงานมหาวิทยาลัย และลูกจ้างที่ใช้เงินรายได้ ของมหาวิทยาลัย เพราะมหาวิทยาลัยมีอัตราอาจารย์และลูกจ้างจำนวนมาก ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และ ศธ.ไม่ทราบจำนวนที่ชัดเจน ดังนั้น การจัดสรรงบประมาณ จึงต้องแยกกัน แต่ถ้ามหาวิทยาลัยต้องการให้พนักงานและลูกจ้างที่ใช้เงินรายได้มหาวิทยาลัย ได้เพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวครั้งนี้ด้วย ก็จะต้องหารือกับ ศธ.อีกครั้ง

ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) กล่าวว่า ในการปรับเพิ่มเงินเดือนให้แก่พนักงานราชการ และอัตราจ้างต่างๆ ในอัตรา 15,000 บาทต่อเดือนนั้น ขณะนี้มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ ได้จัดสรรงบประมาณไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยนำเงินมหาวิทยาลัยมาใช้ไปพลางก่อน และขอตั้งงบชดเชยย้อนหลัง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า มหาวิทยาลัยขนาดเล็ก หรือมหาวิทยาลัยตั้งใหม่ ที่ยังมีนักศึกษาเข้าเรียนน้อย และไม่มีโครงการพิเศษ หรือรายได้อื่นนอกงบประมาณ ก็จะต้องได้รับผลกระทบแน่นอน ซึ่งอาจจะต้องแก้ปัญหาโดยกันเงินในส่วนที่ไม่กระทบต่อคุณภาพการเรียนการสอน มาใช้ เช่น มสด.ก็ได้มีการกันงบไว้แล้ว แต่อาจจะต้องมีการงดกิจกรรมที่ไม่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาบางส่วน อาทิ งานบริการสังคม เงินกิจกรรมกีฬาของนักศึกษา เป็นต้น เพื่อนำเงินในส่วนนี้มาใช้ในการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่พนักงานราชการ และอัตราจ้าง

ด้าน รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.) กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นรายละเอียดของมติ ครม.ว่า ครอบคลุมถึงพนักงานกลุ่มไหนบ้าง แต่ถ้าการปรับเพิ่มค่าครองชีพ 15,000 บาทต่อเดือน ไม่ครอบคลุมถึงพนักงานมหาวิทยาลัยที่ใช้เงินรายได้ของมหาวิทยาลัยจ้าง ทาง มก.จะต้องนำเงินของมหาวิทยาลัยมาจ่ายให้แทน เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถดึงคนให้ทำงานกับมหาวิทยาลัยได้ และจำนวนบุคลากรกลุ่มนี้ไม่มาก จึงไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องเงินที่จะนำมาจ่ายให้





โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มกราคม 2555 10:19 น




ม็อบค้านขึ้น NGV ชุมนุม ถ.วิภาวดีฯ-ลานพระรูป



สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม



รถบรรทุก-เมล์กว่า 100 คันชุมนุมปิดถนนหน้ากระทรวงพลังงาน ค้านรัฐบาลขึ้นก๊าซเอ็นจีวี ขณะที่รถแท็กซี่นับร้อยชุมนุมรอบทำเนียบรัฐบาล ทำรถติดหนึบ ขณะที่กิตติรัตน์ยันขึ้นราคา NGV ตามเดิม

เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2555 เวลาประมาณ 23.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย พร้อมรถบรรทุก รถเมล์โดยสาร รถสองแถว ประมาณ 100 คัน มาชุมนุมรวมตัวอยู่ที่บริเวณหน้ากระทรวงพลังงาน ใกล้กับ บริษัท ป.ต.ท. จำกัด (มหาชน) ถนนวิภาวดีรังสิต ขาออก ในฝั่งช่องทางคู่ขนาน เพื่อขอคำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาลกรณี ปรับขึ้นก๊าซเอ็นจีวี และหากวันนี้ (9 มกราคม 2555) หากยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากทางรัฐบาล ในวันที่ 10 มกราคม 2555 ทางผู้ประกอบการรถโดยสารทั่วประเทศ จะพร้อมใจหยุดให้บริการประชาชนทั้งหมด รวมถึงรถบรรทุกจากทั่วประเทศ จะทยอยมาที่กรุงเทพฯเพื่อกดดันมากขึ้น

ต่อมาเมื่อช่วงเช้าวันที่ 9 มกราคม กลุ่มรถบรรทุกจำนวน 69 คัน รถร่วม บขส. จำนวน 55 คัน และรถสองแถว 2 คัน ที่ใช้ก๊าซ NGV ได้มารวมตัวกันเพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านการปรับขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ NGV ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการได้นำรถมาจอดในเลนคู่ขนาน ตั้งแต่ถนนพหลโยธินฝั่งขาออก ที่ด้านหน้ารถไฟฟ้า BTS ยาวผ่าน 5 แยกลาดพร้าว และจรดไปจนถึงวัดเสมียนนารี แต่ยังเปิดช่องการจราจรเลนคู่ขนาน 1 ช่องทาง รถสามารถสัญจรได้


ขณะที่การจราจรบนพหลโยธินฝั่งขาออก รถยังเคลื่อนตัวได้ดี แต่ฝั่งขาเข้า ถนนมีรถมาก การจราจรเคลื่อนตัวได้ช้า ส่วนการรักษาความปลอดภัยของอาคาร ปตท.นั้น ได้ปิดประตูเข้า-ออกโดยรอบอาคาร และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยเปิดประตูให้กับพนักงานเท่านั้น

ขณะเดียวกัน นอกจากที่บริเวณหน้ากระทรวงพลังงานแล้ว ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า พระราชวังดุสิต ก็ได้มีกลุ่มแท็กซี่ราว 300 คัน นำรถมาจอดชุมนุมกัน เพื่อคัดค้านการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV เช่นเดียวกัน โดยขบวนรถแท็กซี่ยาวไปจนถึงหน้าประตู 4 ของทำเนียบรัฐบาล ถนนพิษณุโลก เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องปิดการจราจรตั้งแต่แยกสวนมิกสกวันถึงแยกพาณิชการฝั่งขาออกไปโดยปริยาย แต่ยังสามารถใช้เส้นทางฝั่งขาเข้าได้บ้าง โดยผู้ชุมนุมประกาศว่า จะให้เวลารัฐบาลถึงเที่ยงวันนี้ หากยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจะยกระดับการชุมนุมต่อไป


อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น.ที่ผ่านมา นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรี ถึงการแก้ไขปัญหาการชุมนุมคัดค้านการขึ้นราคา NGV ว่า ยังคงให้ยึดมติคณะรัฐมนตรีเดิม ที่ให้มีการปรับราคา NGV แบบขั้นบันได เพราะเห็นว่าได้ผ่านการพิจารณามาเป็นอย่างดีมาจากหลายฝ่ายแล้ว โดยอยากขอร้องให้ผู้ที่ชุมนุมได้เข้ามาหารือแทนการปิดถนน เพราะจะทำให้ประชาชนและผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อน อีกทั้งยังทำให้ประเทศไทยกลายเป็นบ้านเมืองของการชุมนุม

ทั้งนี้ นายกิตติรัตน์ ได้มองว่า ที่ผ่านมากรมการขนส่งทางบกได้มีการทำงานใกล้ชิดกับผู้ประกอบการน่าจะหาทางออกที่ดีได้




อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น