วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จากครัวไทยสู่โลก เป็นครัวโลกสู่ไทย น้ำท่วมเป็นเหตุ/ผู้ผลิตในประเทศหวั่นรัฐบาลเสพติดนำเข้า


ในปี 2548 สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้ประกาศนโยบาย และวางยุทธศาสตร์ "ครัวไทยสู่โลก" เนื่องจากเห็นว่าไทยเป็นประเทศที่มีแหล่งทรัพยากรทางอาหารที่สมบูรณ์ ทั้งนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาอาหารไทย และครัวไทยสู่โลก เมื่อปี 2548 ได้เน้นนโยบายส่งเสริมครัวไทยสู่โลกใน 3 ด้านได้แก่ สินค้าอาหาร ร้านอาหารไทย และวัตถุดิบ
สำหรับเป้าหมายสำคัญของนโยบายครัวไทยสู่โลกมี 4 ประการ คือ 1.เพื่อผลักดันประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ติด 1 ใน 5 ของโลก และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความเชื่อมั่นในระดับสูงสุดด้านความปลอดภัย และสุขอนามัย 2.ผลักดันให้วัตถุดิบในการปรุงอาหารของไทย สามารถส่งออกได้มากขึ้น 3.เพื่อสนับสนุนให้ร้านอาหารไทยในต่างประเทศเป็นศูนย์กระจายข้อมูลการท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นจุดประชาสัมพันธ์ประเทศไทยให้ชาวต่างชาติได้รับรู้ และเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้า 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ หรือสินค้าโอท็อป และ 4.เพื่อสนับสนุนการเปิดร้านอาหารไทยในต่างประเทศ รวมถึงการผลักดันร้านอาหารไทยให้บริการอาหารรสชาติไทยแท้ มีมาตรฐานที่เป็นสากล
ส่วนในรายละเอียดปลีกย่อยสถาบันอาหารในสมัยนั้นได้ตั้งเป้าหมายผลักดันการส่งออกสินค้าอาหารไทยให้ขยายตัวปีละไม่ต่ำกว่า 20% และเพิ่มจำนวนร้านอาหารไทยในต่างประเทศ เป็น 20,000 แห่งภายในปี 2551
-ติดท็อป7อาหารโลก
ถึง ณ วันนี้ ในแง่อันดับโลก ได้รับการยืนยันจากนายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท.ว่า ไทยติดอยู่ใน 1 ใน 7 ของประเทศผู้ส่งออกสินค้าอาหารโลกแล้ว (ประเทศส่งออกอาหารอันดับต้นๆ ของโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา บราซิล จีน อินเดีย ญี่ปุ่น)แต่ในแง่มูลค่าการส่งออกขยายตัวปีละ 20% ยังไปไม่ถึงดวงดาว เพราะในแต่ละปีที่ผ่านมามูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารของไทยมีอัตราการขยายตัวในระดับ 10% โดยล่าสุดในปี 2553 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ระดับ 800,000 ล้านบาท(ปีนี้คาดส่งออก 900,000 ล้านบาท) ส่วนเป้าหมายการตั้งร้านอาหารไทยในต่างประเทศ 20,000 แห่ง ล่าสุดก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝันเช่นกัน เพราะยังตั้งได้เพียงกว่า 10,000 แห่ง แต่ถือมีทิศทางที่ดี เพราะร้านอาหารไทยในต่างประเทศเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามลำดับ

-น้ำท่วมกระทบพืช-ปศุสัตว์
อย่างไรก็ดีจากมหาอุทกภัยครั้งรุนแรงสุดในรอบ 50 ปี ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตทรัพย์สิน อาคารบ้านเรือน ย่านเศรษฐกิจการค้า โรงงานอุตสาหกรรม เกษตรและปศุสัตว์ ไล่จากภาคเหนือ ภาคกลางและกำลังถาโถมสู่ กรุงเทพมหานครในเวลานี้ จากข้อมูลของศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานผลกระทบจากน้ำท่วมด้านการเกษตร ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม - 2 พฤศจิกายน 2554 ด้านพืช มีเกษตรกรได้รับผลกระทบ 1,102,921 ราย พื้นที่คาดว่าจะเสียหาย 10,986,252 ไร่ แบ่งเป็นข้าว 9,008,278 ไร่ พืชไร่ 1,473,973 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 504,001 ไร่ ด้านประมง เกษตรกร 113,945 ราย พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาดว่าจะเสียหาย แบ่งเป็น บ่อปลา 194,012 ไร่ กุ้ง/ปู/หอย 28,354 ไร่ กระชัง/บ่อซีเมนต์ 133,212 ตารางเมตร
ด้านปศุสัตว์ เกษตรกร 162,181 ราย สัตว์ได้รับผลกระทบรวมทั้งสิ้น 13,282,622 ตัว แบ่งเป็น โค-กระบือ254,706 ตัว สุกร 189,904 ตัว แพะ-แกะ 15,085 ตัว สัตว์ปีก 12,822,927 ตัว แปลงหญ้าเลี้ยงสัตว์ 10,519.25 ไร่

ขณะที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย รายงาน สถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย 26 จังหวัด 147 อำเภอ 1,133 ตำบล 8,327 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 720,145 ครัวเรือน 2,125,175 คน ได้แก่ จังหวัดพิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร อุบลราชธานี ขอนแก่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ฉะเชิงเทรา นครนายก และจังหวัดปราจีนบุรี และมีผู้เสียชีวิต.. ราย สูญหาย 2 คน มีจังหวัดที่สถานการณ์คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู 37 จังหวัด
-คนเดือดร้อนของขาดแคลน
ผลจากสถานการณ์น้ำท่วมภาพที่ปรากฏเป็นข่าวมาตลอดในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านในแง่ปากท้อง ประชาชนต้องอยู่กันด้วยความยากลำบาก สินค้าที่จำหน่ายตามห้างสรรพสินค้า โมเดิร์นเทรด ตลอดจนตามตรอกซอกซอยต่างๆ เกิดการขาดแคลนอย่างหนัก ของเกลี้ยงชั้นวางจำหน่าย มีสาเหตุสำคัญหลายประการ ส่วนหนึ่งเป็นจากคลังสินค้าของหลายโมเดิร์นเทรด ถูกน้ำท่วมไม่สามารถเข้าไปขนสินค้าเพื่อนำออกมาจำหน่ายได้
สาเหตุถัดมา เกิดจากประชาชนได้แย่งซื้อสินค้าทั้งเพื่อกักตุนเพื่อเก็บไว้ประทังชีวิตรอด อีกส่วนหนึ่งเป็นการซื้อเพื่อนำไปบริจาคแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากจากน้ำท่วม แสดงความมีน้ำใจคนไทยไม่ทิ้งกัน ขณะที่เส้นทางคมนาคมหลายเส้นทางถูกตัดขาด ทำให้การขนส่งสินค้าเป็นไปอย่างลำบาก บางเส้นทางยังขนส่งได้แต่จากปริมาณการจราจรที่คับคั่ง รถวิ่งได้ช้า เพราะทุกคนต่างหนีน้ำท่วม ทำให้ต้นทุนการขนส่งบานปลาย สินค้าบางส่วนได้รับความเสียหายจากการขนส่ง ดังนั้นเมื่อของมีน้อยแต่ความต้องการมีสูง ราคาสินค้าย่อมสูงขึ้นเป็นทวีคูณสร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง ตัวอย่างราคาไข่ไก่แพงมหาโหดขายกันลูกละ 5-8 บาทเลยทีเดียว
-นำเข้าครั้งประวัติศาสตร์
เพื่อประทังความเดือดร้อนของประชาชน ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่25 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีมติให้มีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยอนุมัติให้มีการนำเข้าไข่ไก่จำนวน 7 ล้านฟอง ปลากระป๋อง 400,000 กระป๋อง น้ำดื่ม 7 ล้านขวด รวมถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ท่ามกลางเสียงคัดค้านของผู้ประกอบการในประเทศที่ออกมาระบุว่า สินค้าที่ผลิตในประเทศมีเพียงพอ โดยโรงงานหรือฟาร์มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม รวมถึงโรงงานในภาคอื่นๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบสามารถเร่งการผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายได้ ขอเพียงให้รัฐบาลช่วยบริหารจัดการเรื่องการขนส่งหรือวางระบบโลจิสติกส์ให้ดีเท่านั้น
ขณะที่รัฐบาลโดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกมาแก้ต่างว่า การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศครั้งนี้เป็นการนำเข้าชั่วคราว เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นภาวะที่ไม่ปกติและอยู่ในช่วงวิกฤติไม่สามารถรอได้ ขอให้ผู้ประกอบการเข้าใจเพราะรัฐบาลจะต้องเร่งกระจายสินค้าไปยังจุดต่างๆที่เกิดความขาดแคลน เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย และกำลังการผลิตในประเทศเพิ่มขึ้นก็จะหยุดการนำเข้า
-กระทบครัวไทยสู่โลก?
อย่างไรก็ตามจากการนำเข้าสินค้าอาหาร และน้ำดื่มจากต่างประเทศครั้งนี้มีคำถามตามมาว่าจะส่งผลกระทบกับนโยบาย และยุทธศาสตร์ครัวไทยสู่โลกของไทยที่ทุกรัฐบาลพยายามปลุกปั้นมาหรือไม่ รวมถึงจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในฐานะแหล่งความมั่นคงด้านอาหารของโลกอยู่อีกหรือไม่ แน่นอนว่าในสายตาประชาชนและชาวโลกในระยะสั้นนี้ย่อมเกิดความสั่นคลอน
สอดคล้องกับความเห็นของนายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ส.อ.ท.ที่มองว่า จากที่ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหาร แต่ต้องมีการนำเข้าอาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในสายตาชาวโลกในระยะสั้นอย่างแน่นอน แต่ด้วยเหตุและผลสามารถยอมรับได้ เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และเกิดขึ้นอย่างที่ไม่มีใครคาดฝันมาก่อน การอนุมัติการนำเข้าสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันของรัฐบาลมองว่า คงหวังผลด้านจิตวิทยา เพราะการนำเข้าจะช่วยเพิ่มปริมาณสินค้าในตลาด ทำให้ประชาชนสบายใจขึ้นว่าสินค้ามีเพียงพอไม่ต้องตื่นตระหนกแห่ตุนมาก ประกอบกับช่วงจากนี้ไปหากสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มลดลง โรงงานทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่ไม่ถูกน้ำท่วมสามารถผลิตทดแทน และมีของออกมาวางจำหน่ายมากขึ้น เหตุการณ์คงคลี่คลายไปทิศทางที่ดีขึ้น
"จริงๆ แล้วภาคเอกชนที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เขาขาดทุนและเข้าเนื้อ เช่นนำเข้าจากมาเลเซีย ฮ่องกง จีน ค่าขนส่งก็แพง ค่าเงิน และค่าแรงบางประเทศเขาก็สูงกว่าเรา สินค้าบางอย่างเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นสินค้าที่แข่งขันด้านราคากำไรไม่สูง สินค้าหลายรายการกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในก็ได้ประกาศราคาควบคุมไว้ จะมาขายแพงๆ ก็คงไม่ได้ แต่ที่ต้องนำเข้าคงจากเหตุผลสำคัญสองประการคือ เพื่อรักษาฐานลูกค้า และให้บริการประชาชนในยามเดือดร้อน"
-ล็อตต่อไปให้พึ่งรง.ในประเทศ
ขณะที่ความกังวลของกลุ่มผู้ส่งออกรายใหญ่ของไทย อย่างนายอนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และการตลาด บริษัท ยูเนี่ยนโฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด หรือยูเอฟพี ผู้ส่งออกสินค้ากุ้งรายใหญ่ ที่ออกมาท้วงติงว่า การนำเข้าสินค้าอาหารจากต่างประเทศย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นประเทศไทยในฐานะหนึ่งในประเทศผู้ผลิตอาหารที่สำคัญของโลก ในโอกาสต่อไปหากรัฐบาลจะตัดสินใจนำเข้าสินค้าอาหารที่ไทยสามารถผลิตได้เองจากต่างประเทศ ควรมีการหารือกับบริษัทผู้ผลิตในประเทศ ทั้งที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ รวมถึงผลิตเพื่อการส่งออกเพื่อให้เพิ่มกำลังการผลิตป้อนในประเทศในช่วงวิกฤติมากกว่านำเข้า ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ บริษัทยินดีสนองความต้องการ อีกทั้งการใช้บริการโรงงานผลิตในประเทศจะสามารถผลิตสินค้าได้ตรงกับต้องการของคนไทยมากกว่าสินค้านำเข้า
สอดรับกับนางฉวีวรรณ คำพา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฉวีวรรณกรุ๊ป ผู้ส่งออกสินค้าไก่แปรรูป ที่ชี้ชัดว่า ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าสินค้าอาหารจากต่างประเทศเพราะจะกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศไทยที่เป็นครัวของโลก แต่เมื่อมีการอนุมัติให้มีการนำเข้าแล้วก็ควรมีการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้า รวมถึงขอใบรับรองด้านสุขอนามัยจากประเทศต้นทางด้วย เพราะสินค้านำเข้าเช่น ไข่ไก่มีความสุ่มเสี่ยงจากเชื้อโรคที่อาจติดมา อาจเข้ามาระบาดในประเทศได้
"ไม่เห็นด้วยกับกรณีการนำเข้าไข่ไก่ เพราะเราเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในอาเซียน และสามารถผลิตได้เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ แม้ผลผลิตจะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมบ้างแต่ก็มีเพียงพอ มีปัญหาแค่เรื่องการขนส่งที่ต้องบริหารจัดการให้ถึงมือประชาชนเท่านั้น"
-หวั่นเสพติดนำเข้า
เช่นเดียวกับนายมาโนช ชูทับทิม นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ ที่ให้ความเห็นว่า กรณีที่รัฐบาลเปิดนำเข้าไข่ไก่เข้ามาบริโภคภายในประเทศถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ยอมรับว่าไข่ไก่นั้นขาดแคลนจริงๆ เพราะคนซื้อไปกักตุนไว้ เพราะเก็บไว้ได้นาน หากนำเข้ามาเป็นช่วงระยะสั้นๆ จะไม่กระทบมากนัก แต่จะกระทบในเชิงจิตวิทยาของผู้เลี้ยง เพราะจะไม่มีความมั่นใจในการเลี้ยง กังวลว่าในอนาคตหากไข่ไก่ราคาแพง รัฐบาลจะใช้ไม้นี้ในการสั่งให้นำเข้าอีก
"เวลานี้สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำก็คือบริหารความตื่นตระหนกของคนให้ได้ แล้วสิ่งที่จะต้องระวังหลังจากการนำไข่ไก่เข้ามาภายในประเทศก็คือ โรคระบาด ที่จะตามเข้ามา ดังนั้นควรให้กรมปศุสัตว์เฝ้าระวังและเข้ม ให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียด ดีกว่ามานั่งแก้ปัญหาในระยะยาว ไม่คุ้ม"
ขณะเดียวกันกระแสข่าวเรื่องโรคระบาดที่อาจจะติดมากับไข่ไก่นั้น นายอาทร ช่วยณรงค์ ประธานกรรมการสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ฉะเชิงเทรา ออกมาย้ำเตือนว่า มีความเป็นห่วงเรื่องโรคระบาดที่อาจจะติดมากับไข่ไก่ เพราะการที่กระทรวงพาณิชย์จะเปิดให้นำเข้ามาจากประเทศมาเลเซียเป็นการเร่งด่วนเช่นนี้ ทำให้ไม่มีการตรวจสอบฟาร์มเลี้ยง หากมีโรคไข้หวัดนก และโรคนิวคาสเซิล ติดมาและเกิดการระบาดในไก่ไข่ของไทย ก็จะสร้างความเสียหายให้ผู้เลี้ยงอย่างมากและจะต้องแก้ปัญหาอีกนาน และอาจจะลามไปถึงไก่เนื้อ ที่จะส่งผลทำให้กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป(อียู)จะระงับการนำเข้าได้
ที่สำคัญเรื่องการนำเข้านี้ไม่ใช่คิดจะทำก็ทำได้เลย ยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย ที่ก่อนจะนำเข้าไข่ไก่จากประเทศไทยได้ ยังต้องส่งหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบถึงฟาร์มเลี้ยงไก่ของเรา โดยใช้เวลานานกว่า 1 ปีถึงจะยอมอนุญาตให้นำเข้าได้ นอกจากนี้ การนำเข้าไข่ไก่จากต่างประเทศเชื่อว่าราคาน่าจะสูงกว่าในประเทศ เนื่องจากต้องบวกค่าขนส่งเข้าไปด้วย การแก้ปัญหานี้จึงถือว่าไม่ตรงจุดและเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เพราะที่สุดแล้วคนไทยก็ต้องกินไข่แพงอย่างไม่สมควร
ส่วนกรณีไข่ไก่ขาดแคลน จนส่งผลให้ผู้บริโภคแย่งกันกักตุนขึ้นนั้น เขายืนยันว่าขณะนี้ถือว่าไม่ได้ขาดแคลนการผลิตยังคงเพียงพอต่อการบริโภค อย่างไรก็ตามอาจมีปัญหาในการขนส่งบ้างเนื่องจากหลายพื้นที่ถนนถูกตัดขาด หรือน้ำท่วมสูงจนรถขนส่งไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ภาครัฐควรหันมาช่วยแก้ปัญหาคือ การบริหารจัดการและวางแผนด้านการขนส่งที่ดี เพื่อให้ปริมาณสินค้าที่ออกสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น และควรศึกษาหาทางแก้ปัญหาในระยะยาวสำหรับการฟื้นฟูฟาร์มไก่ไข่ที่จมน้ำด้วย
"ที่เห็นว่าสินค้าไข่ไก่ดูจะไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคในช่วงนี้ เป็นเพราะผู้บริโภคมีอัตราการบริโภคเพิ่มขึ้นในช่วงน้ำท่วม รวมทั้งมีการกักตุนไข่ไก่เพราะวิตกกังวลต่อภาวะดังกล่าวและหวั่นว่าจะไม่มีไข่บริโภค แต่การผลิตของเกษตรกรในประเทศไม่ได้ลดลงถึงขั้นขาดตลาด โดยปัจจุบันยังได้มีการนำไข่ไก่ในพื้นที่ภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก เข้ามาจำหน่ายในพื้นที่น้ำท่วมมากขึ้น วันนี้ต้องขอให้ผู้บริโภคอย่าตื่นตระหนก และกักตุนไข่ไก่ เพราะเชื่อว่าหลังจากวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 สถานการณ์น้ำคลี่คลายราคาไข่ไก่ก็จะกลับเข้ามาอยู่ในภาวะปกติแน่นอน"
อย่างไรก็ตามเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนทางสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ฯร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ รวบรวมปริมาณไข่ไก่ 3 ล้านฟอง จำหน่ายในราคาไม่เกิน 4 บาท ให้กับผู้ประสบภัย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้บริโภคได้อีกทางหนึ่ง
-กระทบแต่เห็นใจต้องทำ
ขณะที่นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย มองว่า การนำเข้าสินค้าอาหารจากต่างประเทศยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกอาหารที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกบ้าง แต่ก็เห็นด้วย และยอมรับได้กับการที่รัฐบาลอนุมัติให้มีการนำเข้าช่วงสั้นๆ ซึ่งหวังว่าผู้ประกอบการคงเข้าใจ เหตุผลหลักเนื่องจากคนตื่นตระหนกแห่ซื้อกักตุน ประกอบกับน้ำท่วมทำให้การขนส่งสินค้ามีปัญหาจากเส้นทางถูกตัดขาด หรือมีระดับน้ำที่สูง
ดังนั้นการนำเข้าในระยะสั้นจะทำให้มีสินค้าวางขายบนเชลฟ์ในห้าง หรือในตลาดสด เมื่อคนเห็นว่ามีของมากก็จะเกิดผลด้านจิตวิทยาไม่ซื้อกักตุนมาก เกิดความสบายใจขึ้นและจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายในที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นแล้วผลิตออกมาเท่าไรก็ไม่เพียงพอ

-โชคดีข้าวไม่ขาดแคลน
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมอาหาร ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับต้นๆ ของโลก สินค้าที่ไทยส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลกมีหลายรายการ อาทิ ข้าว กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป ทูน่ากระป๋อง และสับปะรดกระป๋อง ซึ่งในสินค้าโปรดักต์แชมเปี้ยนเหล่านี้ ในส่วนของโรงงานแปรรูปกุ้ง และอาหารทะเลกระป๋องส่วนใหญ่ตั้งอยู่ทางแถบจังหวัดสมุทรสาคร นครปฐม ราชบุรี ยังไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมากนัก ส่วนโรงงานข้าวส่งออกส่วนใหญ่อยู่ในเขตภาคกลาง หลายรายได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมทำให้สินค้าได้รับความเสียหายบางรายมีปัญหาเรื่องการขนส่งสินค้าไปที่ท่าเรือ เพราะน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาไหลแรง และมีระดับสูง เรือลอดสะพานไม่ได้ ทำให้ต้องชะลอการส่งมอบลูกค้า
ส่วนโรงงานแปรรูปไก่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกในเขตที่ไม่มีน้ำท่วม โรงงานแปรรูปพืชผัก และผลไม้กระป๋องส่วนใหญ่อยู่ทางภาคเหนือแถบจังหวัดลำพูน ลำปาง เชียงราย ไม่มีปัญหาเช่นกัน อย่างไรก็ดีจากสถานการณ์น้ำท่วมที่เริ่มขยายวงสู่ภาคกลางตอนล่าง หากลุกลามสู่แหล่งผลิตโรงงานแปรรูปอาหาร ทั้งอาหารทะเลกระป๋อง โรงงานแปรรูปกุ้ง โรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยว โรงงานผลิตแป้งข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ซึ่งมีจำนวนโรงงานนับพันโรงในแถบจังหวัดสมุทรสาคร นครปฐม ราชบุรี หากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในเดือนนี้อาจส่งผลต่อการส่งออก และการส่งมอบสินค้าในไตรมาสสุดท้ายได้
ด้านสินค้าข้าวจากที่ผู้ประกอบการหลายรายได้รับผลกระทบ ทำให้ไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าได้จะทำให้ตัวเลขการส่งออกข้าวในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ลดลง ส่วนผลผลิตข้าวในเขตภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางส่วนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้ผลผลิตข้าวหายไปหลายล้านตัน เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายลง และกลับมาเพาะปลูกข้าวได้อีกครั้ง คาดว่าในปีหน้าผลผลิตข้าวไทยจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะเกษตรกรจะเร่งปลูกเพื่อรับอานิสงส์จากโครงการรับจำนำข้าวราคาสูงของรัฐบาล ในสินค้าข้าวนี้ถือเป็นโชคดี เพราะยังมีข้าวในสต๊อกของรัฐบาล และของเอกชนเป็นจำนวนมากไม่เกิดการขาดแคลนจนต้องนำเข้า ไม่เช่นนั้นแล้วหากไทยต้องนำเข้าข้าวจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ครัวไทยสู่โลกอย่างมาก
-โรงแรมปรับแผนรับวิกฤติอาหาร
นายสัมพันธ์ แป้นพัฒน์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมโรงแรมไทยหรือทีเอชเอ เปิดเผยว่า ในช่วงที่มีสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ ส่งผลให้หลายโรงแรมที่จะประสบปัญหาวิกฤติได้สต๊อกอาหารไว้ราว 2 สัปดาห์ (สัปดาห์ที่แล้วและสัปดาห์นี้) และพยายามใช้วัตถุดิบให้ได้มากที่สุด เป็นการประหยัดทรัพยากร เช่น จากที่เคยเสิร์ฟอาหาร 20 อย่างก็เหลือ 15 อย่าง ซึ่งลูกค้าทุกคนก็เข้าใจ เพราะยังมีคุณภาพ แต่ลดแค่เพียงขนาดลงไป
สำหรับปัญหาการขาดแคลนอาหารในขณะนี้ที่ประชาชนต่างแย่งกันตุนอาหารไว้นั้น มองว่าโรงแรมยังมีทางเลือกอื่น เช่น ตลาดยิ่งเจริญที่แม้จะมีปัญหาน้ำท่วมแต่ก็ยังมีอาหารขาย เพียงแค่ติดขัดเรื่องการเดินทางเท่านั้น รวมถึงต้องแสวงหาช่องทางใหม่ในการหาวัตถุดิบ หลายโรงแรมก็มีการติดต่อโดยตรงกับบริษัทผลิตอาหาร เช่น บุญรอด และซีพี เป็นต้น เพื่อให้บริษัทเหล่านี้นำอาหารมาส่งตรงถึงโรงแรม
"จริงๆ แล้วซัพพลายไม่ได้มีปัญหา ไม่ขาดเลย เพียงแค่ลดจำนวนลง ทั้งทุกวันนี้ซัพพลายออกช้า และเชื่อมั่นว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้สถานการณ์จะดีขึ้น แต่กว่าจะคลี่คลายอาจใช้เวลาราว 1 เดือน ทั้งขณะนี้ก็ยังไม่มีรายงานจากโรงแรมใดๆ ว่ามีการขาดแคลนอาหาร เพราะตอนนี้ทุกคนรู้ว่าจะต้องประหยัดทรัพยากร และพยายามดัดแปลงเพื่อใช้วัตถุดิบให้ยืดยาวออกไป"
-ภัตตาคารไทยเน้นปรับเปลี่ยนเมนู
นางปวรวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารในกรุงเทพฯราว 70% ได้รับผลกระทบ ในขณะที่อีกราว 30% แม้จะไม่ได้รับผลกระทบแต่ก็ขายอาหารไม่ได้ ส่งผลให้ยอดขายลดลงเหลือราว 20-30% ทั้งสมาคมยังมีการประเมินว่าหากสถานการณ์น้ำท่วมในกรุงเทพฯ ยืดเยื้อเป็นเวลา 1 เดือน ธุรกิจร้านอาหารจะสูญเสียรายได้ราว 7,000-8,000 ล้านบาท โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหลักๆ คือ พระราม 5 และทวีวัฒนา รวมถึงวัตถุดิบในการผลิตอาหารยังหายากมากขึ้น ซึ่งจริงๆ ก็มีตลาด แต่มีการเดินทางที่ลำบาก
ดังนั้น ร้านอาหารจึงปรับแผนโดยมีการปรับเปลี่ยนเมนูตามวัตถุดิบที่มีอยู่ในการทำอาหาร ประกอบกับสมาคมได้มีการเซ็นเอ็มโอยูร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อจัดส่งวัตถุดิบโดยตรงให้แก่ร้านอาหาร ทั้งยังมีการประชุมร่วมกันกับการค้าภายในของทุกจังหวัด ที่จะมีสินค้าราคาพิเศษสำหรับร้านอาหาร สำหรับแผนในอนาคต ยังเตรียมหารือเพื่อร่วมมือระหว่างร้านอาหารและภาคการเกษตร เพื่อให้สามารถส่งสินค้าได้โดยตรง ทั้งต่อไปยังจะร่วมมือกับเกษตรกรในการจัดส่งวัตถุดิบด้วย
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ร้านอาหารไม่ได้มีปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบผลิตอาหาร เพราะมีการค้าภายในของแต่ละจังหวัดดูแลเป็นอย่างดี ทั้งขณะนี้หลายจังหวัดเริ่มดีขึ้น ผักส่วนใหญ่มาจากราชบุรี ไม่ได้มีปัญหาน้ำท่วม แต่สิ่งที่มาไม่ได้คือการขนส่ง ซึ่งทุกจังหวัดและทุกภาคส่วนจะต้องมาหารือกันให้หาผักพื้นเมืองในท้องถิ่นทดแทน รวมถึงน้ำดื่ม แม้จะมีโรงงานผลิตที่ได้รับผลกระทบ แต่ก็มีโรงงานอื่นๆ ที่ผลิตน้ำจำนวนมาก เพียงแค่ไม่มีแบรนด์อยู่ในชั้นตามศูนย์การค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ต เท่านั้นส่วนการเปิดให้มีการนำเข้าไข่ไก่ของรัฐบาลมองว่าเป็นกลไกกระตุ้นการกักตุนมากกว่า การแก้ปัญหาการขาดแคลน -น้ำท่วมดันเงินเฟ้อพุ่ง
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป(เงินเฟ้อ) ในเดือนตุลาคมล่าสุด ว่า สูงขึ้นจากเดือนกันยายนที่ผ่านมา 0.19% และสูงขึ้นจากเดือนตุลาคม 2553 ที่ 4.19% ตามการสูงขึ้นของราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มได้แก่ ผักสด ข้าวสารเจ้า ไก่สด เนื้อสัตว์แปรรูป ปลา และสัตว์น้ำ ไข่ และผลิตภัณฑ์นม เครื่องประกอบอาหาร เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ อาหารสำเร็จรูป และสินค้าอื่น เช่น วัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา หลอดไฟฟ้า ถ่านไฟฉาย ผ้าอ้อมสำเร็จรูป สิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าของใช้ส่วนบุคคล ส่วนสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ ข้าวสารเหนียว เนื้อสุกร ปลาน้ำจืดสด น้ำตาลทราย น้ำมันพืช บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผลไม้สดบางชนิดเช่น ส้มเขียวหวาน แอปเปิล รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
"ปัญหาอุทกภัยกระทบต่อราคาสินค้าบางประเภท ได้แก่ ผักสด ไข่ไก่ เนื่องจากแหล่งผลิตเสียหาย แต่โดยภาพรวมยังไม่กระทบต่อภาวะเงินเฟ้อมากนัก เนื่องจากการเข้ามาดูแลราคาสินค้าอย่างใกล้ชิดของกระทรวงพาณิชย์ และจากอำนาจซื้อของประชาชนลดลง"
จากสถานการณ์น้ำท่วมที่ต้องเปิดให้มีการนำเข้าสินค้าอาหารจากต่างประเทศ และกระทบต่อนโยบายครัวไทยสู่โลกในช่วงสั้นๆ รวมถึงกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อที่ขยับตัวสูงขึ้น ยังไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้อย่างชัดเจนว่าในอนาคตสถานการณ์น้ำท่วมหรือภัยพิบัติใหญ่ๆ จะไม่เกิดขึ้นกับประเทศไทยอีก แต่ ณ วันนี้ถือได้ว่า สถานการณ์ได้สั่นคลอนประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตและส่งออกอาหารจนเสียรังวัดไปไม่น้อยเลยทีเดียว






จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,686 10-12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น