แม็กซอน-มินิแบร์หนีลงทุนเขมร อ้างกระจายความเสี่ยง BOIถกความช่วยเหลือ (ไทยโพสต์)
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3
2 ยักษ์ใหญ่กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ "แม็กซอน-มินิแบร์" เตรียมย้ายฐานลงทุนหนีไทยไปเขมรแทน หวังกระจายความเสี่ยง หลังไทยเจอปัญหา 2 เด้ง ทั้งน้ำท่วม-ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ด้านบอร์ดบีโอไอเตรียมเคาะลงทุน 13 โครงการมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้าน พร้อมพิจารณามาตรการช่วยเหลือน้ำท่วม
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน นายกฤษดา ทรัพย์ทวนชน เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัท แม็กซอน ซิสเต็ม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่จากเกาหลี และบริษัท มินิแบร์ จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่จากญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ เตรียมย้ายฐานการลงทุนบางส่วนจากไทยไปประเทศกัมพูชา (เขมร) แล้ว หลังจากเจอปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทย และเขมรยังมีความได้เปรียบในเรื่องของค่าแรงที่ต่ำเพียงวันละ 80 บาทเท่านั้น
"อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มที่จะย้ายฐานไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เวียดนาม และเขมรแทนมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในประเทศไทย เพราะเมื่อเทียบกันแล้วตอนนี้ประเทศไทยไม่มีความได้เปรียบอะไรเลย หลังจากโดนสึนามิ น้ำท่วม และค่าแรงขั้นต่ำ ในขณะเดียวกัน การบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลก็ไม่มีเอกภาพ" นายกฤษดากล่าว
นายกฤษดากล่าวว่า อยากให้รัฐบาลเร่งเข้าไปฟื้นฟูระบบจ่ายไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมเร็วที่สุด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตสินค้าป้อนตลาดได้ เพราะหากยิ่งช้าก็จะทำให้เสียโอกาส รวมทั้งยังมีแนวโน้มว่าราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะสูงขึ้นประมาณ 6-10% ได้ นอกจากนี้ยังทำให้เสียโอกาสทางการตลาดไปอยู่ที่จีนและอินเดียแทน เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า
ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายอุตสาหกรรมได้ย้ายฐานการผลิตไปเพื่อนบ้านแล้วหลายราย ส่วนใหญ่จะย้ายไปกัมพูชาและเวียดนาม แต่ในอนาคตก็จะย้ายหนีไปพม่ามากขึ้นหากรัฐบาลพม่าสามารถที่จะแก้กฎระเบียบในการดึงดูดการลงทุนที่ดี เพราะพม่ามีค่าจ้างประมาณ 80 บาทต่อวัน ซึ่งต่ำมาก แต่ผู้ประกอบการคงต้องใช้เวลาในการพัฒนาฝีมือแรงงานสักระยะก่อน
ขณะที่นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ในวันที่ 25 พ.ย.นี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน จะมีการพิจารณาส่งเสริมการลงทุน 13 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในกิจการด้านพลังงานไฟฟ้า เช่น กิจการไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงชีวมวล รองลงมาเป็นกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เช่น การผลิตยางรถยนต์และการผลิตเครื่องยนต์
นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอจะพิจารณาออกมาตรการฟื้นฟูการลงทุนจากอุทกภัย คาดว่าจะเพิ่มสิทธิประโยชน์ทั้งแก่ผู้ประกอบการและนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหาย รวมทั้งให้สิทธิประโยชน์แก่นิคมอุตสาหกรรมที่จะลงทุนสร้างระบบสาธารณูปโภคเพื่อป้องกันน้ำท่วมด้วย นอกจากนี้ ยังได้พิจารณาออกมาตรการด้านจูงใจให้เกิดโครงการลงทุนใหม่ๆ ในพื้นที่ประสบอุทกภัยด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://thaiflood.kapook.com/view33877.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น