วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พลิกประวัติศาสตร์น้ำท่วม 2485 : ฉันเห็นอุทกภัย


หนังสือพิมพ์รายวันนิกร ปีที่ 5 ฉบับที่ 2612 วันอังคารที่ 29 กันยายน 2485 ที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุอุทกภัยปี พ.ศ.2485 ไว้โดยตีพิมพ์ข้อเขียนเรื่อง “ฉันเห็นอุทกภัยสองครั้ง” ของ “สามัคคีชัย” ไว้ในหน้าที่ 1, 2 และ 8

จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีไทยในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วม พ.ศ.2485 และเจ้าของความเห็นในนาม “สามัคคีชัย”



ในหนึ่งชั่วอายุคน เชื่อได้ว่าคนทุกคนคงหลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมของชีวิต ซึ่งเกี่ยวพันกับเหตุการณ์เปลี่ยนผันทางสังคมหรือความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติซึ่งก่อให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงกันหลายครั้งหลายหน ......

ดังเช่น เหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภาคกลางของประเทศไทยในห้วงหลายสิบปีที่ผ่านมา แม้คนไทยภาคกลางและคนกรุงเทพทั้งวัยหนุ่มวัยสาว จนถึงผู้หลักผู้ใหญ่วัยเกษียณอายุจะเคยประสบพบเจอกับเหตุอุทกภัยมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เช่น เหตุอุทกภัยใหญ่ปี พ.ศ.2526 ซึ่งข้อมูลจากสำนักระบายน้ำกรุงเทพมหานครได้มีการจดบันทึกไว้ว่า น้ำท่วมในปีดังกล่าวมีสภาพรุนแรงมาก เนื่องจากมีพายุพัดผ่านภาคเหนือ และภาคกลางในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมประกอบกับมีพายุหลายลูกพัดผ่านกรุงเทพฯ ในช่วงเดือนตุลาคม หรือ เหตุอุทกภัยใหญ่อีกครั้งใน 12 ปีต่อมา คือ เหตุอุทกภัย พ.ศ.2538 ซึ่งเกิดจากสาเหตุที่ มีฝนตกในภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากพายุหลายลูกพัดผ่าน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ประกอบกับฝนตกหนัก ในช่วงเดือนสิงหาคม- ตุลาคม เนื่องจากพายุ "โอลิส" ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา มีระดับสูง โดยวัดที่สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2538 มีค่าระดับสูงถึง 2.27 เมตร (รทก.) ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้น้ำล้นคันป้องกันน้ำท่วมริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำในระดับสูงถึง 50-100 เซนติเมตร

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์มหาอุทกภัย ณ พุทธศักราช 2554 นี้ ว่ากันว่าถือเป็นอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบเกือบ 70 ปี นับตั้งแต่เหตุอุทกภัยใหญ่ในปี พ.ศ.2485 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ถึงปัจจุบันอย่าว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราจะจดจำเรื่องราวดังกล่าวมิได้ อาจเพราะเกิดไม่ทันหรือยังเด็กอยู่ แม้กระทั่งคนรุ่นปู่ย่าตายายที่ประสบเหตุการณ์ในตอนนั้น เชื่อว่าส่วนใหญ่ก็คงลืมเลือนเหตุการณ์ไปหมดแล้ว

ด้วยเหตุนี้ทีมข่าว ASTVผู้จัดการออนไลน์ จึงขออาสาขุดค้นเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุอุทกภัยใหญ่ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย พ.ศ.2485 มาให้พวกเราคนรุ่นหลังได้รับทราบ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และที่สำคัญคือ เตือนใจพวกเราว่าดินแดนที่พวกเราได้อยู่ได้อาศัยแห่งนี้เคยมีเหตุการณ์ภัยพิบัติสำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง

กล่าวถึงภูมิหลังโดยคร่าวของประเทศไทยในปี พ.ศ.2485 (หรือ ค.ศ.1942) เวลานั้นประเทศไทยถูกดึงเข้าสู่วังวนของสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สองในยุโรปที่เริ่มขึ้นในปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1939) และสถานการณ์ทางเอเชียซึ่งญี่ปุ่นเริ่มใช้นโยบายชาตินิยมและก่อสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้นที่จีนและคาบสมุทรเกาหลี ขณะที่นายกรัฐมนตรีของไทยขณะนั้นคือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ใช้รัฐบาลทหาร และสื่อต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนประเทศในการทำสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร และปลูกฝังลัทธิชาตินิยมอย่างเข้มข้นให้กับพลเมือง

ระหว่างที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายกับสงครามนี้เอง ในช่วงปลายปี พ.ศ.2485 ก็เกิดเหตุอุทกภัยใหญ่ที่กินเวลาราว 3 เดือน ในช่วงเดือนกันยายน ถึง พฤศจิกายน 2485 โดยหลักฐานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งที่บอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปีดังกล่าวก็คือ ข้อเขียนเรื่อง “ฉันเห็นอุทกภัยสองครั้ง” ของ “สามัคคีชัย” ซึ่งในเวลานั้นทราบกันดีว่า “สามัคคีชัย” ก็คือ ทัศนะของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

ข้อเขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ของ “สามัคคีชัย” ชิ้นนี้ ถูกนำมาอ่านออกกระจายเสียงทางกรมโฆษณาการ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2485 และถูกตีพิมพ์ในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์นิกร หนังสือพิมพ์รายวันที่ถือเป็นกระบอกเสียงสำคัญของรัฐ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2612 วันอังคารที่ 29 กันยายน 2485

สำหรับเนื้อหาของข้อเขียนดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้


ฉันเห็นอุทกภัยสองครั้ง ของ “สามัคคีชัย”


เวลานี้ น้ำท่วมหลายจังหวัด ฉันจึงถือโอกาสออกไปดูน้ำที่ทุ่งรังสิต โดยรถยนต์ตามถนนประชาธิปัตย์ เมื่อเริ่มออกเดินทาง ฉันคิดจะไปให้ถึงสระบุรี หรือไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้ แต่ต้องไปหยุดและกลับบ้านเมื่อถึงเลยสะพานข้ามคลองรังสิตประมาณ 100 เมตร ตรงนั้นน้ำท่วมถนน น้ำไหลข้ามถนนจากตะวันออกไปลงทุ่งตะวันตก ตาม 2 ข้างถนนประชาธิปัตย์ที่ฉันผ่านไปเห็นแต่น้ำกับฟ้า มีต้นไผ่ต้นไม้เป็นเกาะห่างๆ กัน บางแห่งเป็นบุญของเจ้าของนา ยังแลเห็นต้นข้าวพ้นน้ำเขียวเป็นหย่อมๆ บ้านเรือนชาวนา บางแห่งท่วมถึงครึ่งหลัง ควาย แรงสำคัญช่วยชาวนายืนในน้ำเป็นกลุ่ม บางฝูงควายควายเหล่านั้นยืนกลางทะเล บางแห่งก็พากันมาอาศัยบนถนน โดยเฉพาะทุ่งรังสิต แลไม่เห็นคันข้าวเลยจนจดขอบฟ้า ดูเหมือนทะเลเวลามีคลื่นน้อยๆ ที่กองทัพอากาศดอนเมืองคนยืนในรั้วของกองทัพอากาศ เทียบกับระดับน้ำข้างนอกแค่ไหล่

วันนี้ฉันไปอีก น้ำท่วมถนนตรงเลี้ยวเข้าสถานีดอนเมืองแล้ว เลยต้องกลับแค่นั้น แวะเยี่ยมกองทัพอากาศของเรา เจ้าหน้าที่กองทัพอากาศนับแต่ผู้บัญชาการทหารอากาศลงไปกำลังวุ่นเรื่องทำทำนบกันน้ำ ท่านกำลังรบกับอุทกภัยกันอย่างเต็มที่ ทั้งๆ ที่ทุกขภัยก็อยู่เฉพาะหน้าทุกเวลา ท่านผู้บัญชาการทหารอากาศท่านใจดี เห็นอกราษฎร ท่านอนุญาตให้ราษฎรเอาควายไถนาไปเลี้ยงในบริเวณกองทัพอากาศเพราะน้ำไม่ท่วม และมีหญ้าเป็นอาหารด้วย ยิ่งกว่านั้น ยังเตรียมปลูกบ้านให้ราษฎรหนีภัยจากน้ำท่วมอีกด้วย

สาธุ! ขอให้ท่านมีความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะท่านเห็นใจคนจน และจนอย่างชาวนาผู้เป็นกำลังสันหลังของชาติด้วย พี่น้องเหล่านี้ บ้านไม่มีอยู่ ข้าวจะไม่มีกิน เงินก็ไม่ใคร่มีเสียด้วย ไปไหนต้องว่ายน้ำ เพราะเรือไม่มี นี่แหละที่ฉันเห็นเพียงส่วนน้อย

ภาพของบ้านเมืองและผู้คนที่ต้องอุทกภัยเช่นนี้ ทำให้ฉันนึกถึงเมื่อปีมะเส็ง พ.ศ.2460 เวลานั้นฉันมีอายุ 20 ปี ในสมัยรัชกาลของสมเด็จพระมงกุฎเกล้า พระมหาธีรราชเจ้า ปีนั้นมีอุทกภัยอย่างคราวนี้ ฉันอยู่ที่ลพบุรี ทุ่งนาในจังหวัดนั้นกลายเป็นทะเล มีคลื่นน้อยๆ เหมือนกัน ทางรถไฟจมน้ำหมด ผู้คนต้องหนีน้ำกันไปอยู่ตามตีนเขาก็มี อยู่บนทางรถไฟก็มี สุดแต่มีดอนน้ำไม่ท่วมที่ไหน ที่นั่นเป็นสวรรค์ของชาวนา กินในน้ำ นอนแช่น้ำ เป็นของผจญภัยธรรมดา พอสิ้นภัยจากน้ำท่วม ก็พบภัยข้าวของแพง อดข้าวก็มี เพราะข้ามีราคากระสอบละ 40-50 บาท ซ้ำร้ายพอถึงต้นฤดูหนาวไข้หวัดใหญ่ก็ระบาดใหญ่ ผู้คนตายเป็นจำนวนไม่น้อย ฉันกับเมียก็เจ็บด้วยถึงเพ้อ นึกว่าไม่รอด แต่หัวยังแข็งอยู่ เลยทนมาได้พบอุทกภัยครั้งที่ 2 นี่อีก มีผู้กล่าวว่า การสงครามก็ดี อุทกภัยก็ดี โรคภัยก็ดี พระเจ้าท่านสาปไว้ ต้องให้มาล้างผลาญมนุษย์ทุกรอบ 20-25 ปี ทางทหารกล่าวในหลักวิชายุทธศาสตร์ว่า การสงครามเป็นระเบียบของโลก ต้องมีเสมอตามฤดูกาลของมัน

ท่านผู้ฟังทั้งหลาย บัดนี้เราพบทุกขภัยที่ไม่ได้ไปรบอย่างทหาร เช่น ชาวกรุงเทพฯ เป็นต้น ก็พบแล้ว ต้องวิ่งลงหลุมหลบภัย เมื่อได้ยินเสียงหวอ ซึ่งเสียงนี้ทุกท่านจำได้และไม่ชอบ เพราะฟังแล้วทำให้ใจเย็นและตัวเย็นตามมาด้วย อุทกภัยก็กำลังมาแล้ว กำลังสู้กันอยู่ตัวเปียกปอนชุ่มไปหมด ยังเหลือที่เคยมีมาคราวก่อน เมื่อ พ.ศ.2460 ก็ข้าวราคากระสอบละ 40-50 บาท กับโรคภัยระบาดไปทั่ว

ฉันเขียนถึงเพียงนี้ ทำให้ฉันเหนื่อยเต็มที่เพราะชาติของเราต้องสู้ และจะต้องสู้ภัยมากมายเหลือเกิน ไม่รู้จักหมดจักสิ้น ฉันสมเพช สงสารพี่น้องชาวนาเสียเหลือเกินที่ต้องกินในน้ำ นอนในน้ำ ข้าวของเสียหาย แต่เมื่อมองดูทุ่งน้ำกำลังขึ้น กำลังไหล ฉันก็ได้แต่บวงสรวงพระผู้เป็นเจ้าของโลกมนุษย์ ได้โปรดมนุษย์ไทยที่ไม่ได้ทำผิดอะไรแก่ใครเลย มีแต่รักสงบ รักอยู่ในศีลในธรรม รักเพื่อสร้างชาติของไทยเท่านั้น ลงโทษแต่พอควรเถิด

เมื่อกลับบ้านฉันพบในหนังสือพิมพ์ว่ารัฐมนตรีหลายท่านแยกย้ายกันไปตรวจราชการ ทำให้ฉันโล่งใจเพราะเป็นของแน่นอน ท่านรัฐมนตรีเหล่านั้นคงจะได้ตกลงกันช่วยราษฎรไทยในการแก้อุทกภัยแน่นอน เราปล่อยให้งานของท่านผ่านไป เราเชื่อในความสามารถของรัฐบาลนี้ คงจะแก้ไขอุทกภัยคราวนี้ให้หนักเป็นเบา ถึงคราวอดก็คงมีกินเป็นแน่นอน

บัดนี้ฉันอยากแสดงความเห็นของฉันส่วนตัวว่า ในยามอุทกภัยนี้เราควรสู้และเตรียมสู้อย่างใดจึงจะให้ถึงที่ตายก็ไม่ตาย หรือหนักเป็นเบาลงได้ ฉันไปเห็นตัวอย่างชาวนาเองเมื่อคืนนี้ที่ดอนเมือง พี่น้องชาวนาเหล่านั้นได้นำควายมาเลี้ยงรวมกันที่วงเวียนดอนเมือง มีคนเฝ้าเล็กน้อยแต่มีควายมาก ฉันถามได้ความว่า รวมกันเลี้ยง ผลัดกันเข้าเวร นี่ก็ความสามัคคี ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกันนั่นเอง จากตัวอย่างพี่น้องชาวนาจำนวนน้อยนี้ฉันจึงเห็นว่าถ้าราษฎรที่ต้องอุทกภัยเวลานี้ได้ช่วยกันเป็นเวรแล้วก็จะทำให้เราดูแลบ้านช่องข้าวของได้ไม่ต้องทิ้งกันหมด ส่วนหนึ่งเฝ้าข้าวของวัวควาย ที่ต้องจำเป็นย้ายไปไว้ที่ดอน อีกส่วนหนึ่งปรับปรุงบ้านช่องให้พ้นน้ำ อย่างไรก็ดี เราเห็นได้ชัดว่า ถ้าราษฎรทุกครอบครัวได้ขุดดินทำที่ปลูกบ้านให้สูงไว้ก่อน ซึ่งฉันเคยได้ทราบว่าทางกระทรวงมหาดไทยได้เคยแนะนำชักชวนมานานแล้ว ราษฎรก็ไม่ต้องขนข้าวของวัวควาย ย้ายไปหาที่ดอนน้ำไม่ท่วม ไกลบ้านเดิมเลย ฉันหวังและขอเสนอให้ทางรัฐบาลออกกฎหมายบังคับให้ราษฎรขุดดินทำที่ปลูกบ้านให้สูงพ้นน้ำท่วมในกาลข้างหน้าก็จะดีไม่น้อย พ้นอุทกภัยในคราวที่ 3 ข้างหน้า ซึ่งอาจเป็นอายุยุวชนบัดนี้จะได้พบเห็นก็ได้

ฉันพูดมาเพียงนี้เป็นน้ำท่วมทุ่งยังไม่ได้เรื่งอะไร อยากพูดมากกว่านี้ แต่นึกไปนึกมาต้องหยุดพูด เพราะเชื่อว่ารัฐบาลท่านคงทำแล้ว ดังในเรื่องต่อไปนี้

1.ช่วยย้ายผู้อยู่ในน้ำขึ้นบก
2.ตั้งงบประมาณช่วยหาอาหารและเครื่องแต่งกายให้ราษฎรที่ถูกน้ำท่วม และหวังว่า คงจะได้บอกบุญแก่พี่น้องที่ไม่ต้องสู้กับอุทกภัยตามศรัทธา
3.เตรียมซื้อข้าวตุนไว้จำหน่ายจ่ายแจกและทำพันธุ์ตามฐานะของผู้ต้องอุทกภัย และกักข้าวไม่ส่งไปนอกในเวลาอันควร
4.เมื่อน้ำลด เตรียมให้ราษฎรทำไร่เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ตามแต่จะทำได้ สุดแต่ท้องถิ่น
5.ให้รัฐมนตรีและอธิบดีทุกท่าน คิดช่วยราษฎรผู้ต้องอุทกภัยตามหน้าที่
6.ให้ข้าหลวง นายอำเภอ คณะกรรมการจังหวัด อำเภอได้ช่วยราษฎรที่อยู่ในน้ำ ขึ้นบกและจัดการเรื่องอาหารการกินตลอดจนที่อยู่

เหล่านี้เป็นต้น ถ้าท่านได้จัดการตามนี้แล้ว เชื่อว่าเราคงฝ่าฟันอุทกภัยไปได้ตลอดรอดฝั่ง

ตามที่ฉันพูดมานี้ เป็นสิ่งเกี่ยวแก่ภัย ดูน่ากลัวก็มาก แต่เราก็มีหวังในทางดีอยู่ที่การช่วยของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไม่น้อยเหมือนกัน เราก็ไม่น่ากลัวไม่ใช่หรือ?

ยิ่งกว่านั้น อุทกภัยคราวนี้มีเฉพาะผู้ที่อยู่ตามลำน้ำซึ่งมีต้นน้ำมาจากภาคเหนือเท่านั้น ส่วนทางภาคอีสาน ภาคใต้ของเรายังดี ไม่มีอุทกภัยอะไรเลยที่น่ากลัว นอกนั้นยังมีข่าวเบาใจว่า ทางลำปางน้ำลดลงประมาณ 1 ใน 8 แล้ว ทางพิษณุโลก พิจิตร น้ำก็ลดลงมากและกำลังลดลงเรื่อยๆ ทางนครสวรรค์น้ำก็ลดลงแล้ว ยังเหลือพวกเราที่อยู่ตั้งแต่ใต้นครสวรรค์ลงมา และในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ท่าจีนเท่านั้นที่จะต้องพบกับอุทกภัย

ฉันได้พูดมานี้ ทำนองเป็นเรื่องฟังเล่น หากท่านผู้ใดมีความคิด ความเห็น ช่วยกันสู้อุทกภัยฟันฝ่าให้ตลอดรอดฝั่งไปได้ ฉันหวังว่าจะเป็นที่ชอบใจของชาติเรา ในยามทุกข์ถึงอุทกภัยนี้เป็นอย่างยิ่ง

แม้คำพูดของฉันมีผิดพลาดบกพร่อง ขอประทานอภัยด้วย สวัสดีจงมีแต่พี่น้องชาวไทยทั่วกัน


27 กันยายน 2485


หมายเหตุ : ทีมข่าวได้ถอดความข้อเขียนข้างต้นโดยปรับภาษาไทยที่ใช้ในอดีต ให้ถูกต้องตามหลักการสะกดของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ฉบับ พ.ศ.2542


น้ำท่วมบริเวณหน้าอาคารกรมโฆษณาการ (หรือปัจจุบันกรมประชาสัมพันธ์) แห่งเดิม ณ หัวมุมถนนราชดำเนิน เดือนตุลาคม 2485 (แฟ้มภาพ)

ภาพประกอบที่ 1: หน้าปกหนังสือพิมพ์นิกรรายวัน ฉบับวันที่ 30 กันยายน 2485 ลงข่าวโต้ข่าวลือในสมัยนั้นว่าราคาข้าวจะไม่ขึ้นแม้จะเกิดเหตุอุทกภัยใหญ่ก็ตาม

ภาพประกอบที่ 2 : หน้า 1 หนังสือพิมพ์นิกรรายวัน ฉบับวันที่ 1 ตุลาคม 2485 วันแรกๆ ที่หนังสือพิมพ์ในยุคนั้นเริ่มลงข่าวเกี่ยวกับเหตุอุทกภัยใหญ่หลายชิ้น

ข่าวการขอรับบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องนุ่งห่ม และเงิน จากประชาชนทั่วไป ให้กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัย โดยกระทรวงสาธารณสุข หนังสือพิมพ์นิกร ฉบับวันที่ 1 ตุลาคม 2485 หน้าที่ 3


เหตุการณ์มหาอุทกภัย ณ พุทธศักราช 2554 ที่ประชาชนชาวไทยกำลังประสบกันอยู่ ณ ปัจจุบัน ว่ากันว่าเป็นอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบเกือบ 70 ปี นับตั้งแต่เหตุอุทกภัยใหญ่ในปี พ.ศ.2485 ถึงปัจจุบันอย่าว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราจะจดจำเรื่องราวดังกล่าวมิได้ อาจเพราะเกิดไม่ทันหรือยังอยู่ในวัยเยาว์ แม้กระทั่งคนรุ่นปู่ย่าตายายที่ประสบเหตุการณ์ในตอนนั้น เชื่อว่าส่วนใหญ่ก็คงลืมเลือนเหตุการณ์ไปหมดแล้ว

ด้วยเหตุนี้ทีมข่าว ASTVผู้จัดการออนไลน์ จึงขออาสาขุดค้นเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุอุทกภัยใหญ่ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยเมื่อ 69 ปีที่แล้วมาให้พวกเราคนรุ่นหลังได้รับทราบ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และที่สำคัญคือ เตือนใจพวกเราว่าแผ่นดินที่พวกเราได้อยู่ได้อาศัยแห่งนี้เคยมีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง

ตอนที่ 2

หลังจากที่ข้อเขียนเรื่อง ”ฉันเห็นอุทกภัยสองครั้ง” ของ “สามัคคีชัย” หรือ อีกนัยหนึ่งคือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เผยแพร่สู่สาธารณะโดยถูกนำมาอ่านออกกระจายเสียงทางกรมโฆษณาการ เมื่อ วันที่ 27 กันยายน 2485 และถูกตีพิมพ์ในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ใน วันอังคารที่ 29 กันยายน 2485 ในวันเดียวกันในหน้าที่ 3 ของหนังสือพิมพ์นิกรก็มีการลงประกาศของบริษัท ข้าวไทย จำกัด ระบุข้อความว่า “อย่าตกใจ! ข้าวของบริสัทข้าวไทย จำกัด ไม่ขึ้นราคา ติดต่อได้ที่ แผนกขายข้าวภายในประเทศ เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า ธนบุรี”


จากนั้นในหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์นิกรวันถัดมา คือ วันพุธที่ 30 กันยายน 2485 ก็ตีพิมพ์ข่าวย้ำอีกว่าภายในภาวะภัยพิบัติ บริษัทข้าวไทยยืนยันว่าจะไม่ขึ้นราคา และเตรียมตัวช่วยผู้ประสบอุทกภัยเต็มที่ (รายละเอียดดังภาพประกอบที่ 1)

“ด้วยมีหนังสือพิมพ์บางฉบับลงข่าวว่า ประชาชนส่วนมากเตรียมการสะสม เสบียงอาหารเกี่ยวกับอุทกภัย และอาจมีผู้ซื้อข้าวไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นได้ นอกจากหนังสือพิมพ์แล้ว ยังมีเสียงลือกันต่างๆ บริษัทข้าวไทยขอชี้แจงว่า บริษัทได้เตรียมตัวไว้พร้อม ที่จะสนองความต้องการของพี่น้องชาวไทยเพื่อช่วยเหลือจากอุทกภัยอย่างเต็มที่ และยังมิได้ขึ้นราคาข้าวเลย ฉะนั้นพี่น้องชาวไทยผู้ใดต้องการซื้อข้าวไว้รับประทาน ขอให้ไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท หรือสำนักงานกลาง และสาขาจำหน่ายข้าวทุกแห่งได้โดยปรกติและซื้อได้โดยไม่จำกัดจำนวน” รายงานของหนังสือพิมพ์นิกรระบุ

สำหรับสาขาจำหน่ายข้าวของบริษัทข้าวไทย จำกัด ในเขตกรุงเทพมหานคร ในเวลานั้นได้แก่ ร้านกมลพานิช เสาชิงช้า, ร้านไทยจำลองลักสน์ สี่พระยา, ร้านไทยบำรุง ยานนาวา, ร้านธัญญมิตต์ สะพานเหลือง, ร้านสีลมอาภรน์ บางรัก และร้านสำเนียง ตลาดลาดหญ้า ธนบุรี

ในวันเดียวกันบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์นิกรยังได้กล่าวสนับสนุน และชื่นชมถึงข้อเขียนของ “สามัคคีชัย” ในวันที่ 29 กันยายน 2495 ว่า เป็นคำแนะนำที่แสดงให้เห็นถึงความรักใคร่แก่เพื่อนร่วมชาติเป็นอย่างยิ่ง

“… ’สามัคคีชัย’ ยังได้แสดงความคิดเห็นในการป้องกันอุทกภัยคราวหน้าว่า อยากเสนอให้ทางรัฐบาลออกกฎหมายบังคับให้ราษฎรขุดดินทำที่ปลูกบ้านให้สูงพ้นน้ำท่วมในกาลข้างหน้า ความคิดเห็นนี้ เราขอสนับสนุนอย่างเต็มที่และเราเชื่อว่าทางรัฐบาลคงจะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาต่อไป” บทบรรณาธิการ นสพ.นิกรระบุ ซึ่งในเวลานั้น นสพ.นิกร (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสยามนิกร) มีเจ้าของคือ บริษัทไทยพนิชยการ และมีนายพรต พุทธินันทน์ ดำรงตำแหน่งบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา

น้ำท่วม 2485 มากกว่า 20 จว.อ่วม

ต่อมาใน วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2485 ข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ก็มีความเคลื่อนไหวมากขึ้น ทั้งในประเด็นการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย, การป้องกันโรคที่มากับน้ำ, การจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยการจัดหาเชื้อเพลิงมาสนับสนุนเครื่องยนต์ฉุดระหัดวิดน้ำมาถ่ายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วม, การตรวจราชการของรัฐมนตรีในพื้นที่น้ำท่วมเพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อน เป็นต้น

สำหรับข่าวพาดหัวรองของหนังสือพิมพ์นิกร ในวันที่ 1 ตุลาคม 2485 คือข่าวที่รัฐบาลสั่งให้ กรมการจังหวัดดำเนินการป้องกันโรคด่วนโดยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขออกเยี่ยมเยียนช่วยเหลือประชาชนโดยทั่วถึงทุกแห่ง ซึ่งครอบคลุมจังหวัดต่างๆ ทั้งในภาคเหนือและภาคกลางกว่า 22 จังหวัด (รายละเอียดดังภาพประกอบที่ 2)

“วันที่ 29 กันยายนนี้ อธิบดีกรมสาธารณสุข ได้มีหนังสือด่วนถึงคณะกรรมการจังหวัดนครสวรรค์ นครปฐม พิษณุโลก ชัยนาท สุพรรณบุรี กาญจนบุรี พิจิตร นนทบุรี อ่างทอง ปทุมธานี สิงห์บุรี สระบุรี ลพบุรี ราชบุรี สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร ลำปาง เชียงราย แพร่ เชียงใหม่ และอุตรดิตถ์ เรื่องแนะนำในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บดังความต่อไปนี้

“ตามที่กรมสาธารณสุขได้มีหนังสือและโทรเลขแจ้งมาให้คณะกรมการจังหวัดต่างๆ สั่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จัดการป้องกันโรคล่วงหน้าไว้คราวหนึ่งแล้วนั้น บัดนี้ปรากฏว่าน้ำเหนือไหลบ่าลงมาท่วมท้องที่อีกหลายแห่ง กะทำให้เกิดความลำบากแก่ประชาชนอันมาก สมควรและจำเป็นต้องรีบจัดการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ อันอาจจะเกิดขึ้นได้ให้รัดกุม มีผลดียิ่งขึ้นอีก

“เพราะฉะนั้น ให้ท่านสั่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในจังหวัดนี้ให้ออกไปทำการเยี่ยมเยียนช่วยเหลือบำบัดและป้องกันโรคให้แก่ประชาชนโดยทั่วถึงกันทุกแห่ง อนึ่ง ปรากฏว่าในระหว่างนี้มีประชาชนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ชอบลงไปเล่นน้ำถือเป็นของสนุก โดยมิได้ระมัดระวังตัว ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้เกิดการเจ็บไข้และถูกสัตว์ร้าย ที่มีพิษขบกัดเป็นอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายขึ้นได้ ขอให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้เอาใจใส่ แนะนำให้ประชาชนทั้งหลายพึงระมัดระวังตัวโดยกวดขัน อย่าบังควรลงไปเล่นน้ำโดยไม่จำเป็น สำหรับน้ำที่จะใช้สอยและบริโภคก็ขอได้แนะนำให้จัดการต้ม เพื่อทำลายเชื้อโรคเสียก่อนและข้อสำคัญต้องระวังอย่าให้น้ำโสโครกเข้าปากได้เป็นอันขาด ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยแก่ประชาชน ตลอดจนครอบครัวด้วยกันทั้งหมด”

ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขในเวลานั้นก็ได้ลงประกาศ ขอรับบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องนุ่งห่ม และเงิน จากประชาชนทั่วไป ให้กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยด้วยเช่นกัน (รายละเอียดดังภาพประกอบที่ 3)

“ด้วยปรากฏว่าขณะนี้ได้เกิดอุทกภัยขึ้นในจังหวัด บางจังหวัดก่อให้เกิดความเสียหายแก่พี่น้องชาวไทยในจังหวัดเหล่านั้นเป็นอย่างมาก จึงเป็นที่คาดหมายได้ว่า บรรดาพี่น้องของเราเหล่านี้จะได้ประสบกับความขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคที่จะบำรุงชีวิต เพราะอุทกภัยคราวนี้กระทรวงสาธารณสุขได้พิจารณาแลเห็นว่าการที่จะจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ ไปช่วยเหลือผู้ได้รับความทุกข์ยากได้โดยวิธีจัดส่งเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ ไปช่วยเหลือผู้ได้รับความทุกข์ยากได้โดยวิธีจัดส่งเครื่องอุปโภคบริโภคบางอย่างที่จำเป็นบางประการไปช่วยบ้างตามสมควร แต่การที่จะจัดซื้อแต่ทางเดียวนั้นก็จะไม่เพียงพอ ฉะนั้นกระทรวงสาธารณสุขจึงขอถือโอกาสขอรับความร่วมมือร่วมใจจากท่านที่นับถือ ช่วยกันบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภค ได้แก่ข้าว อาหารอย่างอื่น เครื่องนุ่งห่ม ตามแต่จะมีจิตศรัทธาหรือถ้าไม่เป็นการสะดวก ท่านจะบริจาคเงินเพื่อให้ทางการจัดซื้อให้ก็ย่อมจะทำได้

“สำหรับการมอบสิ่งของ ขอท่านโปรดส่งที่กรมประชาสงเคราะห์วังปารุสก์ ถนนราชดำเนินนอก (ปัจจุบันคือ ที่ตั้งของกองบัญชาการตำรวจนครบาล - ทีมข่าว) หรือถ้าไม่เป็นการสะดวก โปรดติดต่อยัง โทร.22436 เพื่อกรมประชาสงเคราะห์ จะได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ไปรับเป็นคราวๆ ไป ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขหวังว่าท่านผู้มีจิตศรัทธา คงจะให้ความร่วมมือ ร่วมใจ ช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยคราวนี้เป็นแน่”

นอกจากนี้ยังมีข่าวระบุว่า ในเวลานั้น กรมประชาสงเคราะห์ได้ส่งบุคลากร สิ่งของ เวชภัณฑ์ และเงินช่วยเหลือมูลค่าสองพันบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดนครสวรรค์เป็นพิเศษ แสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อเกือบ 70 ปีที่แล้ว ชาวจังหวัดนครสวรรค์น่าจะประสบกับภัยที่หนักหนาสาหัส เช่นเดียวกับเหตุอุทกภัยใน พ.ศ. นี้

“เนื่องในคราวอุทกภัยซึ่งเกิดขึ้นในท้องที่บางจังหวัดคราวนี้ กรมประชาสงเคราะห์ได้ส่งทุนช่วยเหลือผู้ต้องภัยจำนวน 2,000 บาท ไปให้คณะกรมการจังหวัดนครสวรรค์เพื่อใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเป็นการด่วน ในโอกาสเดียวกันนี้ กระทรวงการสาธารณสุขได้จัดส่งหน่วยสงเคราะห์ผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ 2 ราย ผู้ช่วยแพทย์กระทรวงสาธารณสุข 1 นาย ออกเดินทางจากจังหวัดพระนครในวันที่ 28 กันยายน พร้อมกับนำเครื่องอุปโภคบริโภค และเวชภัณฑ์ไปสมทบกับผู้ช่วยแพทย์ 2 นายซึ่งได้ส่งล่วงหน้าไปแล้วแต่วันที่ 23 เพื่อไปการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัยต่อไป”

5 มาตรการสนองปัจจัยสี่

ในปี พ.ศ.2485รัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทย ได้ออกมาตรการเร่งด่วน 5 ข้อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยมาตรการดังกล่าวครอบคลุม “ปัจจัย 4” อันเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ค่อนข้างครบถ้วน คือ ที่อยู่อาศัย, อาหาร, เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม, การแพทย์-รักษาโรค และการเงิน

“เมื่อวันที่ 29 เดือนนี้ กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือด่วนมากถึงคณะกรรมการจังหวัดที่น้ำท่วมทุกจังหวัด ความว่า ในการปฏิบัติช่วยเหลือราษฎรที่ถูกน้ำท่วมนั้น ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้

1.ที่อยู่อาศัย ให้จัดหาที่อยู่อาศัยของคนและสัตว์ พาหนะให้พ้นภัย และความยากลำบาก ถ้าไม่มีสถานที่ หรือ โรงเรือนจะอาศัยได้ ก็ให้ซื้อไม้ไผ่ปลูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักอาศัยชั่วคราว ทั้งคนและสัตว์
2.อาหาร ถ้าปรากฏว่าผู้ต้องประสบภัยขาดแคลน อดอยากให้จัดหาเสบียงอาหารในท้องที่มาเลี้ยงดู ถ้าข้าวในท้องที่ไม่มีก็ให้สั่งซื้อตรงจากบริษัทข้าวไทยไปแจกจ่าย
3.เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ให้จัดหาให้โดยขอความช่วยเหลือบอกบุญในท้องที่ใกล้เคียง ถ้าหาไม่ได้ก็ให้ซื้อแจกจ่าย
4.การป่วยไข้ ให้จัดแพทย์ออกตรวจ ชี้แจง แนะนำ เพื่อป้องกันไว้ก่อน เมื่อปรากฏว่ามีการป่วยไข้ขึ้นก็ให้รีบจัดการ รักษา จ่ายยาให้ อนึ่ง การเล่นน้ำและอาบน้ำในขณะนี้ อาจเป็นทางที่จะทำให้เกิดโรคขึ้นได้ ฉะนั้นให้ตักเตือนและห้ามปรามราษฎรโดยกวดขัน
5.การเงิน ให้จ่ายเงินการสำคัญไปก่อน แล้วขอเบิกไปยังกระทรวงสาธารณสุข

ทั้งนี้ ให้รีบตรวจตราปฏิบัติการโดยทั่วถึง และเมื่อจังหวัดใดมีการขัดข้องอย่างใดให้รายงานแจ้งกระทรวงมหาดไทยโดยด่วน”

หมายเหตุ : ทีมข่าวได้ถอดความข้อเขียนข้างต้นโดยปรับภาษาไทยที่ใช้ในอดีต ให้ถูกต้องตามหลักการสะกดของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ฉบับ พ.ศ.2542






โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 พฤศจิกายน 2554 08:06 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น