วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

21 พฤศจิกายน วันนักถ่ายภาพไทย


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

คงมีหลายคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ เพราะการถ่ายภาพนอกจากจะสร้างความสุข และความเพลิดเพลินให้กับผู้ถ่ายภาพแล้ว การถ่ายภาพยังถือเป็นการเก็บความทรงจำที่เราได้พบประสบมาอีกด้วย รวมทั้งภาพถ่ายยังเป็นตัวแทนบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และด้วยเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาเรื่อยมา ทำให้ปัจจุบันการถ่ายภาพเป็นเรื่องง่ายที่ไม่ว่าคนรุ่นไหนก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ ก็เป็นวันที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายภาพโดยตรง เนื่องจากวันนี้เป็น "วันนักถ่ายภาพไทย" ซึ่งบรรดานักถ่ายภาพทั้งหลายคงอยากรู้แล้วใช่ไหมคะว่าในวันนี้มีความเป็นมาอย่างไร ซึ่งกระปุกดอทคอมจะมาชี้แจงแถลงไขให้ฟังกันค่ะ

สำหรับการถ่ายภาพครั้งแรกประเทศไทยมีขึ้นในปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) โดยช่างที่ถ่ายรูปคนแรกในสมัยรัชกาลที่ 3 นั้นคือ ท่านสังฆราชฝรั่งเศสชื่อ บาทหลวงปาเลอกัว อยู่วัดคอนเซ็บชัน (สามเสน) และคนไทยที่เป็นช่างถ่ายภาพคนแรก คือ นายโหมด อมาตยกุล หรือ พระยากระสาปน์กิจโกศล ในปัจจุบันเชื่อกันว่าบาทหลวงปาเลอกัวเป็นช่างคนแรก และเป็นอาจารย์ของพระยากระสาปน์กิจโกศล (นายโหมด อมาตยกุล) นายโหมดมีชื่อเสียงในการถ่ายภาพเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น ในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง "เรื่องการถ่ายรูปเมืองไทย" ของราชกาลที่ 5 จากหนังสือ "กุมารวิทยา"


ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) มีหลักฐานพระบรมรูปหลงเหลือไว้จำนวนมาก เนื่องจากในสมัยนี้ รัชกาลที่ 4 ทรงนำรูปถ่ายที่ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการทูต โดยทรงส่งพระบรมฉายาลักษณ์ไปให้ประมุขของประเทศต่าง ๆ ที่ทรงผูกสัมพันธไมตรีด้วยหลายวาระ อาทิเช่น ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ที่ฉายคู่กับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีไปยังประธานาธิบดีแฟรงคลินเพียร์ซ ของสหรัฐอเมริกา เป็นต้น อีกทั้งในสมัยนี้มีเริ่มมีการตั้งร้านถ่ายรูปถาวรขึ้น 2 ร้าน ร้านหนึ่งเป็นของชาวต่างชาติชื่อ เอ.แซกเลอร์ ส่วนอีกร้านเป็นของนายจิตรจิตราคนี หรือหลวงอัคนีนฤมิตร ซึ่งหลวงอัคนีนฤมิตรนับได้ว่าเป็นช่างถ่ายรูปรุ่นแรก ๆ ของเมืองไทยที่มีผลงานถ่ายภาพเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ขุนนางเจ้านาย ตลอดกระทั่งภาพเหตุการณ์สำคัญ ๆ บางเหตุการณ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5

และในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) การถ่ายภาพในเมืองไทยได้พัฒนาเป็นอย่างมาก เนื่องจากในสมัยนี้รัชกาลที่ 5 ทรงมีความสนพระทัยในวิทยาการสมัยใหม่ทุกด้าน รวมถึงวิชาการถ่ายรูปก็เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการเปิดร้านถ่ายภาพกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น จากแต่ก่อนคนที่จะถ่ายภาพจะต้องเป็นคนชั้นสูงเท่านั้น เช่น เชื้อพระวงศ์ ขุนนาง พ่อค้า เป็นต้น

นอกจากนี้ จากความสนพระทัยในการถ่ายภาพเป็นอันมาก รัชกาลที่ 5 จึงทรงจัดให้มีการอวดรูปภาพหรือโชว์รูปและการประชันรูปขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ การเอารูปถ่ายออกมาแสดงให้สาธารณชนได้ชมกัน โดยมีการเชื้อเชิญให้ส่งรูปถ่ายมาแสดงเก็บเงินช่วยในการสร้างพระอาราม มีทั้งรูปอัดลงกระดาษและรูปกระจกใสถ้ำมอง และมีการออกร้านขายของสารพัด ที่สำคัญคือ มีร้านถ่ายรูปหลวงด้วย ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในงานไหว้พระพุทธชินราชประจำปี พ.ศ. 2448

และเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ 5 ดังนั้น เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2548 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงได้ลงมติเห็นชอบให้ถวายพระราชสมัญญาแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะพระบิดาแห่งการถ่ายภาพไทย และกำหนดให้วันที่ 23 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันนักถ่ายภาพไทยเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยไม่เป็นวันหยุดราชการ


อย่างไรก็ตาม ต่อมา มีการแก้ไขเพิ่มเติม ให้เปลี่ยนวันนักถ่ายภาพไทยเป็นวันที่ 21 พฤศจิกายน หลังจากที่นายกสมาคมสื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม (นายพลาดิศัย สิทธิธัญกิจ) ได้ขอให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแก้ไข เนื่องจากมีหลักฐานเอกสารยืนยันว่าวันประกาศการอวดรูปถ่ายที่ถูกต้อง จริง ๆ แล้วคือ วันที่ 21 พฤศจิกายน ร.ศ.124 (พ.ศ. 2448) มิใช่วันที่ 23 พฤศจิกายน ตามที่สมาคมสมาพันธ์การถ่ายภาพไทยเสนอไว้

สำหรับในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 นี้ ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบ 106 ปี นอกจากจะเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังมีการจัดกิจกรรมพิเศษสำหรับบรรดานักถ่ายภาพอีกด้วย นั่นก็คือ การประกวดรูปถ่าย ซึ่งทางสมาพันธ์สมาคมการถ่ายภาพแห่งประเทศไทย จึงได้จัดการประกวดถ่ายภาพในครั้งนี้ขึ้น หัวข้อ "พระพุทธรูปในวัดเบญจมบพิตร" และ "พระบรมรูปทรงม้า" โดยผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท

ถ้าช่างกล้องคนไหนเตรียมตัวไม่ทัน ก็อย่าลืมฝึกปรือฝีมือตั้งแต่ตอนนี้ แล้วไปประลองความสามารถการถ่ายภาพกันในปีหน้านะจ๊ะ


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
buu.ac.th

kapook.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น