วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

2หมื่นอาคารสูงกลางกรุงลุ้นระทึก ห้องจ่ายไฟเสี่ยงจมน้ำ ตั้งทีมเฝ้า24ช.ม.

อาคารสูง 2 หมื่นแห่งกลางกรุงระทึก สมาคมสถาปนิกฯ-สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาฯชี้ "ห้องเครื่อง" อยู่ต่ำ เสี่ยงถูกน้ำท่วมทำตึกอัมพาตทั้งระบบ จี้เจ้าของอาคารปรับกลยุทธ์สู้ เน้นสร้างแนวป้องกันจากภายในเป็นลำดับ แรก "ทรู-เซ็นทรัล" เตรียมแผนรับมือปีหน้า ขณะที่ "พลัส พร็อพเพอร์ตี้" บริษัทรับบริหารอาคาร เสนอแผนป้องกัน 100 อาคาร ลดความเสียหาย


นายทวีจิตร จันทรสาขา นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังจากได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาการวางระบบป้องกันน้ำท่วมอาคาร โรงพยาบาลรัฐ 3 แห่ง ขณะนี้มีความวิตกว่า อาคารส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับการป้องกันห้องเครื่องน้อยเกินไป ทั้ง ๆ ที่ในห้องเครื่องมีทั้งตู้ควบคุมไฟฟ้า ระบบปั๊มน้ำ ระบบปั๊มปรับอากาศ แต่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการป้องกันน้ำท่วมเข้าสู่ตัวอาคารเป็นลำดับแรก ซึ่งเป็นการวางแผนตั้งรับที่ผิดพลาด

หลังจากพื้นที่ถูกน้ำท่วมขยายเข้าถึงถนนวิภาวดีรังสิตมุ่งสู่เมืองชั้นใน สมาคมอยากกระตุ้นเตือนให้อาคารต่าง ๆ ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมปรับรูปแบบการป้องกันใหม่ โดยจะต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันห้องเครื่องเป็นลำดับแรก ไม่ใช่ไปเน้นป้องกันน้ำเข้าสู่ตัวอาคารอย่างที่ส่วนใหญ่ทำกันอยู่ และควรมีการจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมในตัวอาคารใหม่

จากประสบการณ์ที่ได้เป็นที่ปรึกษาอาคารโรงพยาบาล พบว่าอาคารเก่าในกรุงเทพฯที่มีอายุเกิน 10 ปี ส่วนใหญ่มักติดตั้งห้องเครื่องไว้ที่ชั้นใต้ดิน ประมาณการว่าปัจจุบันมีอาคารสูงทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลประมาณ 20,000 แห่ง และสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การป้องกันน้ำที่จะเข้ามาทางระบบท่อต่าง ๆ ภายในห้องเครื่อง เช่น ระบบท่อไฟฟ้า ท่อสายโทรศัพท์ ฯลฯ ระบบท่อทั้งหมดจะมารวมกันที่บริเวณบ่อพักสายไฟ ซึ่งจุดนี้ควรจะต้องก่อแนวป้องกันอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันน้ำท่วมไหลย้อนกลับเข้ามาตามท่อต่าง ๆ เพราะจะสร้างความเสียหายให้กับห้องเครื่องได้

"หากห้องเครื่องเสียหายจากน้ำท่วมจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ตั้งแต่ 5 แสนบาทไปจนถึงหลักล้าน ขึ้นอยู่กับความสูงและขนาดของอาคารและจะต้องใช้เวลารออะไหล่อีก 2-3 เดือน ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถใช้อาคารได้ตามปกติ ตอนนี้ทุกอย่างมีความไม่แน่นอน ถ้าน้ำท่วมสูงแค่ 50 เซนติเมตรก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะอาคารแต่ละแห่งออกแบบไว้ให้ตัวอาคารสูงกว่าถนนอยู่แล้ว แต่ที่กังวลคือ ถ้าน้ำท่วม 1 เมตร แนวกระสอบทรายที่ทำป้องกันไว้จะสู้ไม่ได้"

สำหรับการป้องกันน้ำที่จะเข้าห้องเครื่อง นายทวีจิตรย้ำว่า การก่อกระสอบทรายเป็นแนวป้องกันเพียงชั้นเดียวไม่เพียงพอ แต่ควรทำแนวป้องกันอย่างน้อย 2-3 ชั้น ล้อมรอบประตูหรือรอบห้องเครื่อง และเตรียมปั๊มสูบน้ำไว้ประจำจุดเพื่อสูบน้ำออกกรณีที่มีน้ำท่วมเข้ามาภายในตัวอาคารและมาถึงหน้าห้องเครื่อง รวมถึงควรจัดเจ้าหน้าที่ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง และถ้าถึงที่สุดถ้าไม่สามารถป้องกันได้ก็ต้องวางแผนถอย คือต้องลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด

เช่น ปั๊มน้ำ ให้นำผ้าพลาสติกมาหุ้มอุปกรณ์ไว้ และให้ถ่ายรูปอุปกรณ์ทั้งหมดไว้หรือทำเครื่องหมายเป็นสัญลักษณ์ จากนั้นให้ถอดอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกนำมาเก็บไว้ในที่ปลอดภัย เมื่อน้ำลดแล้วก็จะสามารถเปิดใช้อาคารได้ทันที

ขณะที่นายเกชา ธีระโกเมน นายกสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาเครื่องกลและไฟฟ้าไทย กล่าวว่า จากที่ได้เป็นที่ปรึกษาให้กับอาคารต่าง ๆ พบว่าอาคารขนาดใหญ่ที่มีชั้นใต้ดินและห้องเครื่องชั้นใต้ดินตื่นตัวกับการป้องกันห้องเครื่องมากขึ้น คำแนะนำ ถ้ามีพื้นที่ใช้สอยให้งดใช้ การซีลควรจะก่ออิฐฉาบปูนทำเป็นกำแพงปิดและเสริมด้วยกระสอบทรายทั้งด้านหน้า-หลังอีก 2 ชั้นเพื่อความหนาแน่น และควรมีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังชั้นใต้ดินตลอด 24 ชั่วโมง เพราะกรณีที่น้ำท่วมสูงจะเกิดแรงดันผนังทะลุเป็นรูได้ จึงต้องรีบใช้เครื่องสูบน้ำสูบออกและซ่อมทันที

นอกจากนี้ระบบสาธารณูปโภค ได้แก่ สถานีไฟฟ้าย่อย ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ก็น่าเป็นห่วง เพราะหากน้ำท่วมสูงเกิน 1 เมตร มีความเสี่ยงที่น้ำจะทะลุผ่านแนวป้องกันได้ ดังนั้นต้องพยายามควบคุมระดับน้ำไม่ให้ท่วมสูงเกิน 50-70 เซนติเมตร ไม่เช่นนั้นไฟฟ้าจะดับ

ด้านนายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้แม้จะมีผลต่อโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมของทรูไม่มากนัก อาจเรียกได้ว่ารอดมาได้แบบปริ่มน้ำ แต่บริษัทก็ได้เตรียมตัวรับมือปีหน้า หากปริมาณน้ำมากกว่านี้ เช่น การออกแบบยกระดับอุปกรณ์ให้สูงขึ้นกว่าเดิม พิจารณาการใช้ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์ มีเครื่องปั่นไฟเคลื่อนที่, ปรับการทำงานให้ทำงานจากที่บ้านมากขึ้น รวมถึงการตั้งศูนย์คอลเซ็นเตอร์แห่งใหม่ที่หัวหินและชลบุรี เพื่อกระจายความเสี่ยง เป็นต้น

เช่นเดียวกับนางสาวบุษบา จิราธิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซี ยอมรับว่า ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการปรับแนวทางทำงานของเซ็นทรัลหลายด้าน โดยเฉพาะการวางโครงสร้างระบบอาคารและแผงควบคุมวงจรที่เป็นหัวใจสำคัญของอาคาร หลังจากนี้จะมีการปรับใหม่เพื่อป้องกันสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเห็นภาพชัดขึ้นในการสร้างสาขาใหม่ ๆ ของเซ็นทรัล ต่อจากนี้

ขณะที่นายชาญ ศิริรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในเครือแสนสิริ กล่าวว่า ปัจจุบันรับบริหารอาคารโดยมีลูกค้าในมือกว่า 100 อาคาร ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นในและชั้นกลาง อาทิ สุขุมวิท คลองเตย ตากสิน สาทร ฯลฯ บริษัทได้เสนอแผนบริหารจัดการอาคารในภาวะ "วิกฤตน้ำท่วม" ให้กับเจ้าของอาคารพิจารณา และอยู่ระหว่างดำเนินการตามแผน เพื่อป้องกันไม่ให้อาคารได้รับความเสียหายหรือเสียหายน้อยที่สุด

โดยแผนแบ่งเป็น 3 ส่วน 1) การ เตรียมตัวป้องกัน 2) การบริหารจัดการในสถานการณ์น้ำท่วม และ 3) การฟื้นฟูอาคารให้กลับมาอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน โดยขั้นตอนที่ 1 และ 2 ถือว่ามีความสำคัญ เพราะถ้าอาคารไม่ได้รับความเสียหายก็จะอยู่ในสภาพพร้อมกลับมาเปิดใช้งานได้ทันที

"อาคารที่อยู่ในความดูแลของพลัสฯส่วนใหญ่เตรียมตัวเรื่องการป้องกันมา ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตอนแรกเจ้าของอาคารบางส่วนยังรีรอ แต่พอเห็นน้ำไหลเข้ามาท่วมถึงดอนเมืองก็เข้าใจกันหมด" นายชาญกล่าว

นายสมชาย เลาหบูรณะกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารอาคารและวิศวกรประจำอาคารชินวัตร 3 ถนนวิภาวดีรังสิต กล่าวว่า อาคารชินวัตร 3 มีห้องเครื่องงานระบบ (ไฟฟ้า, แอร์) ตั้งอยู่ที่ชั้น 11 และ 12 ของตัวอาคารที่มี 37 ชั้น จึงปลอดภัยจากน้ำท่วม ส่วนการป้องกันน้ำเข้าตัวอาคารได้เตรียมระบบป้องกันไว้ 2 ชั้น ซึ่งมั่นใจว่าจะป้องกันได้ เนื่องจากประเมินว่าน้ำจะท่วมถนนวิภาวดีรังสิตประมาณ 1-1.20 เมตร แต่แนวป้องกันสูง 1.20 เมตร บวกกับอาคารทางเข้า-ออกอาคารสูงจากพื้นถนนอีก 40 เซนติเมตร ส่วนอาคารชินวัตร 1 และ 2 บนถนนพหลโยธินนั้น อาคารชินวัตร 1 มีงานระบบลิฟต์อยู่ที่ชั้นใต้ดิน ได้ทำแนวป้องกันที่หน้าห้องงานระบบสูง 1.50 เมตร และ 1.20 เมตร ตามลำดับ พร้อมเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ 3-4 ตัว จึงค่อนข้างมั่นใจว่าจะปลอดภัย




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น