วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

10 มหาอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ในอดีต

น้ำคือผู้สร้างชีวิต แต่ในบางครั้งน้ำก็ทำลายชีวิตได้อย่างน่าสะพรึงกลัว เหมือนอย่างในปีนี้ที่ประเทศไทยโดนพิษอุทกภัยเล่นงานหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยใหญ่ในครั้งนี้กว่า 60 จังหวัด มีผู้เสียชีวิตกว่า 300 คน มูลค่าความเสียหายรวมแล้วหลายแสนล้านบาท และยังไม่มีทีท่าว่าจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ง่ายๆ แต่นั่นยังเทียบไม่ได้กับมหาอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ของโลก 10 อันดับต่อไปนี้ ที่คร่าชีวิตผู้คนมาแล้วหลายล้านคนในอดีต แต่ละครั้งเกิดขึ้นที่ใด เมื่อไร และเกิดความเสียหายอย่างไรบ้าง ติดตามได้จากที่นี่

ในบรรดาภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งหลาย ถ้าไม่นับโรคระบาดแล้ว อุทกภัยหรือน้ำท่วมคืออันดับหนึ่งในการสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของชาวโลกนับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพราะในการเกิดอุทกภัยมักแฝงมาด้วยภัยพิบัติอีกหลายชนิด เช่น โคลนถล่ม แผ่นดินทรุด โรคระบาด และภาวะอดอยาก เป็นต้น อุทกภัยจึงกลายเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติเพียงชนิดเดียว (ยกเว้นโรคระบาด) ที่สามารถคร่าชีวิตผู้คนได้มากถึงระดับล้านคนต่อการเกิดหนึ่งครั้ง ตามที่ได้มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

อุทกภัยที่ทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก 10 อันดับแรกเกิดขึ้นที่ประเทศจีนถึง 6 ครั้ง ประเทศเนเธอร์แลนด์ 3 ครั้ง และประเทศเวียดนาม 1 ครั้ง มหาอุทกภัยทั้งสิบนี้ทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตรวมถึงกว่า 6 ล้านคน โดยแต่ละครั้งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


อันดับอุทกภัยที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด

อันดับ วันที่เกิดเหตุ สถานที่เกิดเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต (คน)
1 กรกฎาคม ค.ศ.1931 ตอนกลางของประเทศจีน 2,500,000 - 3,700,000
2 28 กันยายน ค.ศ.1887 ลุ่มแม่น้ำหวงเหอ ประเทศจีน 900,000 - 2,000,000
3 5 - 7 มิถุนายน ค.ศ.1938 ลุ่มแม่น้ำหวงเหอ ประเทศจีน 500,000 - 700,000
4 7 สิงหาคม ค.ศ.1975 เขื่อนปันเฉียว ประเทศจีน 231,000
5 ค.ศ.1935 ลุ่มแม่น้ำแยงซี ประเทศจีน 145,000
6 5 พฤศจิกายน ค.ศ.1530(วันนักบุญเฟลิกซ์) ตอนใต้ของประเทศเนเธอร์แลนด์ กว่า 100,000
7 ค.ศ.1971 ปากแม่น้ำแดง ประเทศเวียดนาม 100,000
8 กันยายน ค.ศ.1911 ลุ่มแม่น้ำแยงซี ประเทศจีน 100,000
9 14 ธันวาคม ค.ศ.1287(หลังวันนักบุญลูซีอา) ตอนเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์ 50,000 - 80,000
10 ค.ศ.1212 ตอนเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์ 60,000


1. อุทกภัยที่จีนกลาง ค.ศ.1931
ค่ายพักพิงผู้ประสบภัยหลังน้ำท่วมปี ค.ศ.1931 คือแหล่งกระจายโรคระบาดออกไปอย่างรวดเร็ว นี่คือภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ (ไม่นับรวมโรคระบาดโดยตรง) เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1931 บริเวณตอนกลางของประเทศจีน โดยก่อนหน้านั้นได้เกิดภาวะฝนแล้งติดต่อกันหลายปี จากนั้นสภาพภูมิอากาศก็เกิดการแปรปรวนอย่างหนัก มีพายุหิมะในฤดูหนาวและตามมาด้วยพายุไต้ฝุ่นถึง 7 ลูกในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1931 ทำให้เกิดฝนตกเป็นปริมาณมหาศาล

น้ำท่วมในครั้งนั้นกินเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - พฤศจิกายน ค.ศ.1931 พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบคือ บริเวณลุ่มแม่น้ำหวงเหอ (Huang He) หรือแม่น้ำเหลือง, ลุ่มแม่น้ำแยงซี (Yangtze) และลุ่มแม่น้ำฮว๋ายเหอ (Huai He) หรือก็คือ บริเวณตอนกลางทั้งหมดของประเทศจีน ระดับน้ำท่วมในบางพื้นที่สูงถึงกว่า 10 เมตร

สื่อของจีนรายงานความเสียหายต่ำกว่าความเป็นจริงว่า มีผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนั้นประมาณ 28.5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตเพียง 145,000 คน ในขณะที่สื่อของตะวันตกรายงานว่า มีจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่าง 3.7 - 4 ล้านคน โดยผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตจากการระบาดของอหิวาตกโรคและไข้รากสาดใหญ่ที่มากับน้ำ

2. อุทกภัยที่ลุ่มแม่น้ำหวงเหอ ค.ศ.1887
อุทกภัยครั้งนี้เกิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำหวงเหอ โดยปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาเป็นจำนวนมากได้พังทะลายพนังกั้นน้ำหลายแห่งริมแม่น้ำฮวงโหเมื่อประมาณวันที่ 28 กันยายน ค.ศ.1887 ทำให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่เกษตรและบ้านเรือนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะพนังกั้นน้ำแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองเจิ้งโจว (Zhengzhou) เมืองหลวงของมณฑลเหอหนาน (Henan) ที่ถูกกระแสน้ำพัดพังทะลาย ทำให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ตอนเหนือของประเทศจีน รวมเป็นพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมมากกว่า 130,000 ตารางกิโลเมตร

ภายหลังจากน้ำได้ลดลงแล้ว มีชาวบ้านกว่า 2 ล้านคนไร้ที่อยู่อาศัย ต้องมาอยู่รวมกันที่ค่ายพักพิงชั่วคราว และนำมาซึ่งโรคระบาดที่คร่าชีวิตไปอีกเป็นจำนวนมาก รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยในครั้งนั้นประมาณ 900,000 - 2,000,000 คน

ชาวบ้านที่ต้องเร่ร่อนหลังที่พักอาศัยจมหายไปกับสายน้ำ

3. อุทกภัยที่ลุ่มแม่น้ำหวงเหอ ค.ศ.1938
สาเหตุของอุทกภัยครั้งนี้ไม่ได้มาจากธรรมชาติ แต่มาจากน้ำมือของมนุษย์ โดยในปี ค.ศ.1938 ท่ามกลางสงครามระหว่างประเทศจีนกับญี่ปุ่น กองทัพญี่ปุ่นจวนเจียนจะยึดมณฑลเหอหนานได้อย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ทางรถไฟสายสำคัญบุกเข้ายึดเมืองอื่นได้ต่อไป เพื่อหยุดการรุกคืบของกองทัพญี่ปุ่น เจียง ไคเชก (Chiang Kai-Shek) ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของจีนจึงสั่งให้ทำลายพนังกั้นแม่น้ำฮวงโหที่ใกล้กับเมืองเจิ้งโจวในวันที่ 5 - 7 มิถุนายน ค.ศ.1938 เพื่อให้น้ำไหลเข้าท่วมกองทัพญี่ปุ่น

น้ำได้ไหลเข้าท่วมมณฑลเหอหนาน มณฑลอานฮุย (Anhui) และมณฑลเจียงซู (Jiangsu) หมู่บ้านหลายพันแห่งถูกกระแสน้ำพังทะลาย ชาวบ้านหลายล้านคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย มีการประเมินภายหลังสงครามสงบว่า อุทกภัยในครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 5 - 7 แสนคน

4. อุทกภัยจากเขื่อนปันเฉียวแตก ค.ศ.1975
พายุไต้ฝุ่นนีน่า (Nina) เคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พัดจากมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านเกาะไต้หวันเข้าสู่ตอนกลางของประเทศจีน และเข้าถล่มมณฑลเหอหนานในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1975 ปริมาณน้ำฝนจำนวนมากถึง 1,631 มิลลิเมตรต่อวัน ที่มากับพายุทำให้เขื่อนปันเฉียว (Banqiao) ที่เมืองจู้หม่าเตียน (Zhumadian) มณฑลเหอหนาน ซึ่งกักเก็บน้ำจากแม่น้ำรู (Ru) เต็มความจุ 492 ล้านลูกบาศก์เมตร ไม่สามารถรับน้ำได้อีกต่อไป ต้องปล่อยน้ำจำนวนมหาศาลออกจากเขื่อนในวันที่ 7 สิงหาคม แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมไว้ได้ จนในที่สุดเขื่อนก็พังลง

มวลน้ำก้อนนั้นได้ก่อให้เกิดคลื่นสูง 3 - 7 เมตร กว้างกว่า 10 กิโลเมตร ซัดเข้าถล่มทั่วเมืองจู้หม่าเตียน จนทำให้เขื่อนใหญ่น้อยทั้ง 62 เขื่อนในเมืองแห่งนี้ไม่สามารถใช้การได้ และทั้งเมืองต้องกลายสภาพเป็นทะเลสาบชั่วคราวไป ประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตจากการถูกน้ำท่วมกว่า 86,000 คน และเสียชีวิตจากโรคระบาดที่ตามมาอีกกว่า 145,000 คน รวมแล้วประมาณ 231,000 คน

5. อุทกภัยที่ลุ่มแม่น้ำแยงซี ค.ศ.1935
ด้วยสภาพขุนเขาโอบล้อมทั้งด้านเหนือและใต้ของแม่น้ำแยงซี ทำให้ที่ลุ่มริมฝั่งแม่น้ำแยงซีถูกน้ำท่วมหนักอยู่เป็นประจำ อุทกภัยครั้งนี้ก็เกิดขึ้นบริเวณตอนกลางและตอนล่างของลุ่มแม่น้ำแยงซี ที่มณฑลหูเป่ย์ (Hubei), มณฑลหูหนาน (Hunan), มณฑลเจียงซี (Jiangxi), มณฑลอานฮุย (Anhui), มณฑลเจียงซู (Jiangsu) และมณฑลเจ้อเจียง (Zhejiang) กินพื้นที่รวมประมาณ 89,000 ตารางกิโลเมตร มีราษฎรได้รับผลกระทบถึง 10 ล้านคน ต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนกว่า 1.5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตถึง 145,000 คน

6. อุทกภัยวันนักบุญเฟลิกซ์ ค.ศ.1530
วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.1530 ระหว่างการเฉลิมฉลองวันที่ระลึกนักบุญเฟลิกซ์ (Saint Felix of Valois) ได้เกิดพายุหมุนในทะเลเหนือ (North Sea) และทำให้เกิดคลื่นพายุหมุนยกซัดฝั่ง (Storm surge) พัดเข้าถล่มชายฝั่งจังหวัดซีแลนด์ (Zeeland) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเนเธอร์แลนด์ คลื่นน้ำได้ก่อให้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้นที่จังหวัดซีแลนด์ พื้นที่เบฟแลนด์เหนือและใต้ (Beveland) ถูกน้ำท่วมจนหมด บางพื้นที่ระดับน้ำสูงจนเหลือแต่หอคอยโบสถ์ที่โผล่พ้นน้ำ ในครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 1 แสนคน และมีหลายหมู่บ้านที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้ จนมีผู้เรียกกันว่า เมืองบาดาลแห่งเบฟแลนด์ใต้ (Drowned land of South Beveland)

7. อุทกภัยที่ปากแม่น้ำแดง ค.ศ.1971
แม่น้ำหงเหอ หรือแม่น้ำแดง (Red River) มีต้นน้ำอยู่ในประเทศจีนและไหลผ่านประเทศเวียดนามไปลงสู่อ่าวตังเกี๋ย (Gulf of Tonkin) ที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง (Red River Delta) ซึ่งอยู่เมืองฮานอย (Hanoi) เมืองหลวงของเวียดนามก็ตั้งอยู่ในพื้นที่นี้ บริเวณดังกล่าวจึงได้มีการสร้างพนังกั้นน้ำขึ้นหลายแห่งเพื่อป้องกันอุทกภัย แต่ในปี ค.ศ.1971 เกิดมีฝนตกเป็นจำนวนมากและมีน้ำทะเลหนุน ทำให้น้ำระดับน้ำในบางพื้นที่สูงกว่าพนังกั้นน้ำ 5 - 10 เมตร น้ำได้ไหลเข้าท่วมพื้นที่ทั้งหมดของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง หรือกว่า 15,000 ตารางกิโลเมตร เป็นผลให้มีชาวบ้านเดือดร้อนกว่า 2.7 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตถึง 1 แสนคน

8. อุทกภัยที่ลุ่มแม่น้ำแยงซี ค.ศ.1911
ตลอดฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของปี ค.ศ.1911 มีฝนตกลงมาเป็นจำนวนมากที่ประเทศจีน ทำให้ในเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้น น้ำจากแม่น้ำแยงซีได้ไหลเข้าท่วมหลายมณฑลทางตอนใต้ของประเทศ ส่งผลให้ชาวบ้านต้องไร้ที่อยู่อาศัยและที่ทำกินถึงกว่า 5 แสนคน และมีผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยในครั้งนั้นถึง 1 แสนคน

9. อุทกภัยหลังวันนักบุญลูซีอา ค.ศ.1287
หลังวันระลึกถึงนักบุญลูซีอา (Saint Lucy's Day) 13 ธันวาคม ค.ศ.1287 ได้เพียงหนึ่งวัน พายุหมุนในทะเลเหนือได้ก่อให้เกิดคลื่นพายุหมุนยกซัดฝั่ง พัดเข้าสู่ชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยเฉพาะจังหวัดนอร์ธฮอลแลนด์ (North Holland) และจังหวัดฟรีสแลนด์ (Friesland) คลื่นน้ำได้พัดทำลายพนังกั้นน้ำจนเกิดอุทกภัยไปทั่วพื้นที่ดังกล่าว ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 50,000 - 80,000 คน ภายหลังได้มีการฟื้นฟูบ้านเรือนขึ้นใหม่ แต่ก็มีหลายพื้นที่ที่ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ จนกลายเป็นพื้นที่จมน้ำมาถึงทุกวันนี้ เช่น บริเวณว๊อดเดนซี (Wadden Sea) และทะเลสาบเอเซลเมร์ (IJsselmeer)

10. อุทกภัยที่ฮอลแลนด์เหนือ ค.ศ.1212
เนื่องจากพื้นที่ประมาณหนึ่งในสี่ของประเทศเนเธอร์แลนด์หรือฮอลแลนด์อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล จึงเกิดอุทกภัยขึ้นบ่อยครั้งโดยเฉพาะพื้นที่ริมชายฝั่งทะเล ตั้งแต่อดีตมาบรรดาเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งก็จะสร้างพนังกั้นน้ำเพื่อกั้นที่ดินของตนไม่ให้ถูกน้ำท่วม แต่ในปี ค.ศ.1212 ก็ได้เกิดคลื่นพายุหมุนยกซัดฝั่งประเทศเนเธอร์แลนด์ พนังกั้นน้ำแต่ละแห่งไม่สามารถต้านทานไว้ได้ จนเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศ โดยเฉพาะที่จังหวัดนอร์ธฮอลแลนด์ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) เมืองหลวงของประเทศ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 60,000 คน เป็นเหตุให้ในเวลาต่อมาบรรดาเจ้าของที่ดินเริ่มสร้างพนังกั้นน้ำที่เชื่อมต่อกันที่ดินของรายอื่น จนกลายเป็นโครงข่ายที่ใหญ่ขึ้น






ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://apichoke.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น