ศิลปวัฒนธรรม ท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ Thailand > เรื่องทั่วๆไปที่คนไทยควรรู้ >
วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554
กรุงเก่าย้าย'นักโทษ-ผู้ป่วย'หนีน้ำ จราจรอัมพาต บขส.สั่งหยุดเดินรถสายเหนือ
ศูนย์ข่าวภูมิภาค - อยุธยาวิกฤตหนัก ถนนโรจนะย่านเศรษฐกิจสำคัญเมืองกรุงเก่าท่วมแล้ว รวมทั้งถนนสายเอเซีย น้ำสูงกว่าครึ่งคันรถยนต์ การจราจรเป็นอัมพาต กรมทางหลวงสั่งปิดการจราจรถนนสายเอเชียทันที ขณะที่ บขส.หยุดเดินรถสายเหนือทุกเส้นทาง ด้านเรือนจำอพยพนักโทษเกือบ 5 พันคนลอยคอหนีน้ำวุ่น "ผู้ว่าฯกรุงเก่า"เผยอีก 3-7 วันอยุธยาจะวิกฤตยิ่งขึ้น "ยิ่งลักษณ์"รับหนักใจ ค่ายรถยนต์โตโยต้า-ฮอนด้า เกาะติด หากลุกลามเข้าฝั่งนวนคร-เขตประกอบการโรจนะอาจวิกฤตถึงขั้นปิดการผลิตทันที ระบุกระทบลงทุนรวม 1.2 แสนล้านบาท ปภ.ย้ำเขื่อนใหญ่ทั้ง ปท.ยังวิกฤต "เขื่อนอุบลรัตน์"เตรียมระบายน้ำ เตือน "ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด" รับมือ
วานนี้ (6 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยาว่า ทุกพื้นที่อยู่ในวิกฤตอย่างหนัก โดยเฉพาะบริเวณถนนโรจนะ ย่านเศรษฐกิจสำคัญแห่งหนึ่งใน จ.พระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่เช้าน้ำได้ทะลักเข้าท่วมจนเต็ม 2 ฝั่งถนนแล้วจากที่ไม่เคยถูกน้ำท่วมมาก่อน โดยระดับน้ำได้ท่วมสูงเกือบถึงครึ่งคันรถยนต์
โดยมวลน้ำดังกล่าวได้เอ่อล้นมาจากบริเวณแยกวัดพระญาติ มาบรรจบกับกระแสน้ำที่ข้ามคันดินของเทศบาลเมืองอโยธยาที่ท่วมบริเวณเจดีย์วัดสามปลื้ม ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาต มีเพียงรถขนาดใหญ่เท่านั้น ที่สามารถสัญจรผ่านไปได้ ขณะเดียวกันชาวบ้านต่างนำกระสอบทรายมาปิดกั้นบริเวณหน้าอาคารบ้านเรือนของตนเอง พร้อมทั้งขนย้ายข้าวของต่างๆ ขึ้นไปไว้ที่สูง
ต่อมาเวลา 13.00 น.ทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ประกาศเตือนให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่รอบเกาะเมืองกรุงเก่า ในเขตเมืองพระนครศรีอยุธยา ให้รีบอพยพสิ่งของขึ้นไปไว้ยังที่ปลอดภัย และให้อพยพประชาชนออกมาอยู่ยังที่สูง เนื่องจากเกรงว่ากำแพงกั้นน้ำที่ป้องกันไม่ให้น้ำไหลทะลักเข้าท่วมรอบเกาะเมืองอาจจะรับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวแรงไม่ไหวและอาจจะพังลงมาอีก หลังจากที่ก่อนหน้านี้กำแพงกั้นน้ำได้พังลงมาครั้งหนึ่งแล้วจนทำให้น้ำทะลักท่วมมากขึ้น
**เรือนจำกรุงเก่าลอยคอผู้ต้องขังย้ายที่อยู่
ขณะที่บริเวณเรือนจำกลางจังหวัดจังหวัดฯ และเรือนจำกลางตำบลหันตรา อ.เมืองพระนครศรีอยุธยา ก็ถูกน้ำท่วมหนัก ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องได้เร่งเคลื่อนย้ายนักโทษประมาณ 5,000 คน ไปไว้ยังเรือนจำต่างๆ หลังจากที่ระดับน้ำจากทุ่งหันตราได้ไหลข้ามถนนด้านหลังเส้นทางบ้านเกาะ-หันตราเข้าท่วมขังภายในบริเวณเรือนจำสูงเกือบ 2 เมตร โดยนายสุวิจักขณ์ ศรีเบญจรัตน์ ผบ.เรือนจำกลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมเจ้าหน้าที่เรือนจำ 30 นายร่วมกับนายเกียรติศักดิ์ เวชวงศ์วาน ผบ.เรือนจำจังหวัดปทุมธานี และเจ้าหน้าที่จากราชทัณท์ได้เดินทางมาทำการย้ายผู้ต้องขัง
โดยก่อนจะทำการย้ายเจ้าหน้าที่ได้ใช้เชือกขนาดใหญ่ผูกตั้งแต่ริมถนนเข้าไปภายในเรือนจำ เพื่อให้ผู้ต้องขังได้ใช้จับเดินลุยน้ำออกมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องขังชาย ให้ผู้ต้องขังที่จะออกทำการถอดเสื้อและใช้วิธีใส่กุญแจมือติดกันคนละข้าง แล้วคล้องเชือกเดินมาตามน้ำ เพื่อป้องกันการหลบหนี นอกจากนี้ บริเวณชั้นบนของอาคารเรือนจำด้านหน้าและบริเวณริมถนน มีพลแม่นปืนถือปืนลูกซองอยู่ 4 นาย จากนั้นจึงเริ่มทยอยกันเดินลุยน้ำออกมาท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลเชียวมาก
นายสุวิจักขณ์ เผยว่า ระดับน้ำขึ้นสูงเมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา จนเข้าท่วมส่วนต่างๆ ภายในเรือนจำ ซึ่งเหลือเพียงเรือนนอนที่อยู่ชั้นสอง แต่ก็ไม่สามารถที่จะให้ผู้ต้องขังประกอบกิจกรรมประจำวันได้ อีกทั้งยังไม่สามารถที่จะประกอบอาหารได้ อาจจะทำให้ผู้ต้องขังหงุดหงิดได้จึงต้องรีบย้าย โดยกระจายไปตามเรือนจำต่าง ๆ 7 แห่งที่อยู่ใกล้ๆ กับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เช่น เรือนจำคลองเปรม ธัญญบุรี ฯลฯ
**ถนนสายเอเชียจมสั่งปิดการจราจร
ส่วนปริมาณน้ำท่วมในพื้นที่ อ.บางปะหัน อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา น้ำได้ไหลท่วมผิวการจราจรถนนสายเอเชีย 2 ช่วงคือขาขึ้น จ.นครสวรรค์ บริเวณเลยแยกต่างระดับพระนครศรีอยุธยามุ่งหน้า อ.นครหลวง น้ำท่วมสูงกว่า 20 ซม.อีกจุดอยู่ในเขต อ.บางปะหัน เลยแยกต่างระดับบางปะหันมุ่งหน้า จ.อ่างทอง ระดับน้ำสูงกว่า 50 ซม.ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาต
พ.ต.อ.ดิเรก ปลั่งดี ผู้กำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจทางหลวง เปิดเผยว่าขณะนี้ถนนสายเอเชีย ช่วงอำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นอัมพาตยาวกว่า 10 กิโลเมตร เนื่องจากการจราจรขาออกสามารถใช้การได้เพียง 1 ช่องจราจรเท่านั้น อีกทั้งยังมีปริมาณรถสะสม ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
ส่วนกลับกันขาเข้ากรุงเทพฯ ยังใช้การไม่ได้ ทั้งรถเล็กและรถใหญ่ เนื่องจาก ถนนมีน้ำท่วมขังสูงจึงจำเป็นต้องปิดการจราจร เพื่อไม่ให้รถไปสะสมเพิ่ม
ทั้งนี้ ฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนให้หลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าว โดยประชาชนที่จะเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ ให้ใช้เส้นทาง ถนนเลี่ยงเมือง ตั้งแต่จังหวัดอ่างทองต่อไปยัง อำเภอวิเศษชัยชาญ และถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ส่วนประชาชนที่จะเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปทางภาคเหนือ ให้ใช้เส้นทาง ต่างระดับบางปะอิน ออกวงแหวนตะวันตก เพื่อบรรจบกับถนนตลิ่นชัน-สุพรรณบุรี
พร้อมกันนี้ พ.ต.อ.ดิเรก ยังกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ลงพื้นที่เพื่อควบคุมและจัดการจราจร รวมไปถึง แนะนำเส้นทางเลี่ยงให้แก่ประชาชนแล้ว
**เผยอีก3-7วันกรุงเก่าวิกฤติขึ้นอีก
ด้านนายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ช่วงวิกฤตน้ำท่วมจริง ๆ ของจังหวัดจะมาถึงในอีก 3-7 วันข้างหน้า เพราะได้รับมวลน้ำหลักมาจากแม่น้ำลพบุรีที่ไหลเข้ามามากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีมวลน้ำรองที่มาจากแม่น้ำป่าสัก และยังมีน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาสบทบด้วย คาดว่าจะทำให้ระดับน้ำในจังหวัดเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 50 ซม.โดยขณะนี้ได้ขอให้ประชาชนฟังประกาศของเทศบาลเมืองอโยธยา เทศบาลพระนครนครศรีอยุธยา รวมถึงของจังหวัดเองด้วย อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้งเตรียมเก็บข้าวของไว้ที่สูงและพร้อมอพยพมาอยู่ในที่ปลอดภัยในทันที
ขณะเดียวกันได้สั่งการให้มีการเสริมคันกั้นน้ำทั้งที่เป็นแบบคันดินและกระสอบทรายโดยรอบเกาะเมือง จากที่สูงอยู่ 50 ซม.เพิ่มอีก 50 ซม.ให้เป็นสูง 1 เมตร และซ่อมจุดที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งตอนนี้พบว่ามีแนวป้องกันได้รับความเสียหายกว่าร้อยละ 60
**"ยิ่งลักษณ์"รับหนักใจน้ำถึงขั้นวิกฤต
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมายังศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์ กรมชลประทาน พร้อมนายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกฯและนายพระนาย สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำจากนายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำท่วม โดยยอมรับว่า มีความหลักใจเกี่ยวกับสถานการณ์พายุลูกใหม่ที่จะพัดเข้ามาในประเทศไทย ระดับน้ำในขณะนี้ถือว่า อยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว แต่เชื่อว่าจะสามารถระบายน้ำออกได้ เพราะทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเร่งทำงานกันอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี สั่งการไปยังอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้ประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อให้รับมือพายุลูกใหม่ที่จะพัดเข้ามาในประเทศไทยอีกไม่กี่วันนี้ โดยให้เพิ่มแนวกันกั้นน้ำและเคลื่อนย้ายประชาชน ไปยังพื้นที่ปลอดภัย
ภายหลังฟังบรรยายสรุปนายกฯ ได้เดินทางไปยังกองพลทหาราบที่ 2 รักษาพระองค์ เพื่อขึ้นเฮลิคอปเตอร์แบบแบล็กฮ็อกตรวจสถานการณ์น้ำที่ อ.อโยธยา และ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมเยี่ยมประชาชนที่ศูนย์อพยพที่ตั้งอยู่ที่สนามกีฬากลางด้วย
ด้านนายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในภาพรวม 12 จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคการเกษตรคาดว่าเสียหายทั้งหมด ส่วนจังหวัดที่วิกฤตมากสุดในขณะนี้ คือ ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดต้องติดตามการแจ้งเตือนประชาชน การอพยพ และการป้องกันคันกั้นน้ำอย่างใกล้ชิด
**บขส.หยุดเดินรถสายเหนือทุกเส้นทาง
นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า บขส.ขอหยุดการเดินรถไปภาคเหนือทุกเส้นทาง เนื่องจากหลายพื้นที่ในภาคเหนือและภาคกลางสถานการณ์น้ำท่วมสูง โดยล่าสุด น้ำได้เอ่อล้นเข้าถนนสายเอเชียช่วง จ.พระนครศรีอยุธยา บริเวณหน้าเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหน้าโรงพยาบาลบางปะหัน รถทุกชนิดไม่สามารถสัญจรผ่านไปมาได้ ทั้งขาขึ้นและขาลง
โดยผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสารแล้ว สามารถแจ้งคืนตั๋วโดยสารได้ที่ สถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ call center 1490 เรียก บขส.ตลอด 24 ชั่วโมง
ส่วนรถไฟได้มีการประกาศงดเดินขบวนรถทางไกลในเส้นทางสายเหนือที่มีต้นทางจากกรุงเทพ-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ เช่นกัน เนื่องจากระดับน้ำสูงกว่าสันรางค่อนข้างมาก เช่น ช่วงลพบุรี-ท่าแค ระดับน้ำสูงกว่าสันรางประมาณ 66 ซม.
ส่วนขบวนรถท้องถิ่นขบวนรถชานเมืองและขบวนรถเร็วบางขบวนที่การรถไฟฯ ประกาศเดินเป็นกรณีพิเศษช่วงระยะสั้นจากกรุงเทพ-ลพบุรี,ท่าแค-นครสวรรค์ และจากชุมแสง-เชียงใหม่ ยังมีเดินให้บริการอยู่
สำหรับเส้นทางสายลำนารายณ์ช่วงหินซ้อน-แก่งเสือเต้นงดเดินขบวนรถท้องถิ่นบางขบวน และแก้ไขสถานการณ์โดยให้ขบวนรถสายหลักวิ่งผ่านสถานีนครราชสีมาแทนมุ่งไปยังขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนกับประชาชนที่จะอาศัยรถไฟในการเดินทาง
**ค่ายรถสำลักน้ำท่วมนวนคร-โรจนะ
ด้านนายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)เผยว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์มีความกังวลถึงภาวะน้ำท่วมในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งจำเป็นจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะหากน้ำเข้าท่วมถึงโรงงานในฝั่งนวนครและเขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานประกอบรถยนต์จะถึงขั้นวิกฤตให้ต้องระงับการผลิตทันทีโดยเฉพาะค่ายโตโยต้า และฮอนด้า ดังนั้น จึงต้องการให้รัฐหามาตรการรองรับเร่งด่วน
"เบื้องต้นผู้ผลิต โดยเฉพาะฮอนด้าต้องหยุดผลิตเป็นเวลา 1 สัปดาห์เพราะน้ำเข้าท่วมโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ตั้งในนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ซึ่งส่วนใหญ่จะผลิตชิ้นส่วนป้อนให้กับค่ายรถยนต์โตโยต้า ฮอนด้า โดยทางส.อ.ท.อยู่ระหว่างการตรวจสอบค่ายรถยนต์อื่น ๆ ว่าได้รับผลกระทบหรือไม่ เราเองก็หวังว่าน้ำจะท่วมระยะสั้นๆ 1-2 สัปดาห์”
นายถาวร ชลัษเฐียร โฆษกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ส่งผลกระทบต่อโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ราว 5-6 บริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วน 10% ของผู้ผลิตชิ้นส่วนทั้งระบบ โดยโรงงานชิ้นส่วนที่ถูกน้ำท่วมส่วนใหญ่จะป้อนให้กับค่ายรถยนต์ฮอนด้าเป็นหลัก และคาดว่าจะกระทบต่อการผลิตชิ้นส่วนและรถยนต์ราว 1 สัปดาห์เท่านั้น เพราะเชื่อว่าโรงงานจะเร่งนำแม่พิมพ์ต่างๆไปให้โรงงานอื่นผลิตชิ้นส่วนแทน
“เราหวังว่าทุกฝ่ายคงหาทางดูแลไม่ให้น้ำท่วมกระทบถึงฝั่งเขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะจนมีความเสียหายมากขึ้น แต่ยอมรับว่าน้ำท่วมจะส่งผลกระทบต่อการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์บ้างเล็กน้อย แต่คงไม่สร้างความเสียหายรุนแรงมากนักหรือกระทบยาวนานถึง 3 เดือนเหมือนที่หลายฝ่ายประเมินไว้ คาดว่าสัปดาห์หน้าจะกลับมาผลิตชิ้นส่วนฯ ได้ตามเดิม” นายถาวร กล่าว
ทั้งนี้อีก 2 สัปดาห์ทางสมาคมฯจะมีการประชุมกับสมาชิกผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อประเมินผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมครั้งนี้ว่ามีมูลค่ามากน้อยเพียงใด และมีโรงงานหยุดผลิตมากน้อยแค่ไหน แต่เบื้องต้นคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตชิ้นส่วนและอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้ และคาดว่าภาพรวมจะเติบโตสอดคล้องกับการผลิตรถยนต์ที่ 1.8 ล้านคัน สำหรับอุตสหากรรมการผลิตชิ้นส่วนมีโรงงานอยู่ราว 2,000 โรงงาน โดยโรงงานส่วนใหญ่ 90% ตั้งอยู่ในชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก(อีสเทิร์น ซีบอร์ด)สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และมีแรงงานทั้งระบบราว 5 แสนคน(รวมอุตสาหกรรมยานยนต์)
นายวิฑูย์ สิมะโชคดี ปลัดฯอุตสาหกรรม กล่าวว่าได้รับรายงานมีโรงงานอุตสาหกรรมถูกน้ำท่วมประมาณ 520 โรงใน 19 จังหวัด ซึ่งขณะนี้ได้ตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแล้ว เฉพาะ จ.พระนครศรีอยุธยา นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครที่ถูกน้ำท่วม ประเมินความเสียหายเฉพาะตัวเครื่องจักร อาคารและสินค้าประมาณ 1,200 ล้านบาทโดยมีโรงงานที่ได้รับผลกระทบ 43 ราย ส่วนตัวเลขที่ประเมินกันว่าเสียหายเป็นหมื่นล้านนั้น น่าจะรวมถึงค่าเสียหายโอกาส เพราะโรงงานบางแห่งอาจจะต้องหยุดผลิตนานถึง 3 เดือน
นางมณฑา ประณุทนรพาล ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)กล่าวว่า ขณะนี้ กนอ.ได้ติดตาม 2 นิคมฯในพื้นที่ จ.อยุธยาอย่างใกล้ชิด คือ นิคมอุตสาหกรรม บางปะอิน และนิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) ที่สถานการณ์น่าเป็นห่วงมากที่สุด เนื่องจากปริมาณน้ำสูงขึ้นต่อเนื่องแต่ภายในพื้นที่นิคมฯ น้ำยังไม่สามารถเข้ามาได้ เพราะมีการป้องกันอย่างเต็มที่และจัดทีมงานเฝ่าระวังตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งแจ้งเตือนผู้ประกอบการให้เตรียมความพร้อมตลอดเวลา
ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอินฯ มีโรงงาน 90 แห่งการลงทุน 60,000 ล้านบาท ประเภทอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์, อุตสาหกรรมยาง พลาสติก เป็นต้น ขณะที่นิคมฯบ้านหว้า มีโรงงานทั้งสิ้น 143 มูลค่าการลงทุน 65,312 ล้านบาท
**สวนอุตฯโรจนะพร้อมรับมือน้ำท่วม
นายจิระพงษ์ วินิชบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สวนอุตสาหกรรมโรจนะ ได้มีการเสริมคันดินสูงขึ้นอีก 1 เมตรเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมาทำให้มีคันดินป้องกันน้ำท่วมในสวนอุตสาหกรรมโรจนะสูงถึง 6.5 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลหรือเหนือจากจากระดับพื้นดิน 4.5 เมตร ซึ่งขณะนี้บริเวณโดยรอบนิคมฯยังไม่มีน้ำท่วม เพราะอยู่คนละฝั่งกับนิคมฯสหรัตนะนครที่ประสบอยู่
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯไม่นิ่งนอนใจได้มีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่จังหวัด เพี่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากจังหวัดฯมีการออกมาตรการใดๆ เพิ่มเติมก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม โดยเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในจังหวัดอยุธยานี้มีความรุนแรงใกล้เคียงกับน้ำท่วมเมือปี 38 ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานจากผู้ประกอบการโรงงานในนิคมฯว่า ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ โดยบริษัทฯยังมีการทำงานตามปกติ
**คันกั้นน้ำใต้สะพานปทุมฯ1พัง
ด้านสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดอื่นยังคงวิกฤติเช่นกัน โดยเฉพาะที่ จ.ปทุมะานี เมื่อเวลา 04.30 น.วานนี้ได้เกิดเหตุคันกั้นน้ำบริเวณถนนยูเทรินใต้สะพาน ปทุมธานี 1 ต.บ้านกลาง อ.เมืองปทุมธานี ได้พังลง ทำให้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน เวลาประมาณ 10 นาที ท่วมสูงกว่า 50-80 ซม.บ้านนายเชื้อ สายสิญจน์ อายุ 73 ปี อยู่บ้านเลขที่ 93/6 หมู่ 5 ต.บ้านกลาง อ.เมืองฯ น้ำเข้าท่วมเก็บข้าวของไม่ทันและบ้านเรือนของชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงถูกน้ำเข้าท่วมกว่า 10 หลังคาเรือน
ส่วนชาวบ้านที่อยู่ใกล้บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้สะพานยูเทริน อีกกว่า 30 หลังคาเรือน ระดับน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร เดิมแนวคันกั้นที่พังเป็นหินคลุกสูงประมาณ 1 เมตร แต่เนื่องด้วยเมื่อคืนที่ผ่านมามีฝนตก และระดับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น ทำให้แนวคันหินคลุกเกิดพังลง เจ้าหน้าที่ต้องเร่งนำกระสอบทรายเสริมคันกั้นอุดรอยน้ำรั่ว กระทั่งขณะนี้สามารถปิดทางน้ำเข้าได้เรียบร้อยแล้ว และที่บริเวณถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา วัดสามโคก ต.สามโคก อ.สามโคก น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาล้นแนวคันกั้นที่ทำไว้ ชาวบ้านเร่งกั้นกระสอบทรายเสริมแนวคันกั้นเดิมอีก 30 ซม.ป้องกันน้ำทะลักเข้าท่วมวัด และบ้านเรือนประชาชน เจ้าหน้าที่ต้องประกาศกระจายเสียงให้ชาวบ้านออกมาช่วยกันกั้นกระสอบทรายเพิ่ม
**ปภ.เตือนอีกเขื่อนใหญ่ยังวิกฤต
นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในเวลานี้ว่า ยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย 28 จังหวัด และขณะนี้เขื่อนเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 3,622 ลบ.ม./วินาที ปริมาณน้ำไหลผ่านที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา 3,930 ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้พื้นที่ลุ่มต่ำใน 10 จังหวัด ที่อยู่ริมแม่น้ำได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ปทุมธานี และนนทบุรี ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำล้นตลิ่งที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ยังอยู่ในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำ 98% เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำ 99% เขื่อนแควน้อย มีปริมาณน้ำ 98% เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำ 136 เปอร์เซ็นต์ ในระยะ 1-2 วันนี้ และยังพบว่า ขณะนี้เขื่อนภูมิพล และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีการระบายน้ำออกมาอย่างต่อเนื่อง จึงขอเตือนให้จังหวัดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ท้ายเขื่อนทั้งสองแห่งเตรียมรับมือผลกระทบจากการระบายน้ำในระยะนี้ไว้ด้วย
**เขื่อนอุบลรัตน์เตรียมระบายน้ำ
นายภิญโญ ทองสิงห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงไฟฟ้าพลังน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถลงถึงสถานการณ์น้ำในเขื่อนอุบลรัตน์ ว่า เขื่อนอุบลรัตน์มีระดับน้ำ 183 เมตร เหนือระดับทะเลปานกลาง สูงกว่าระดับเก็บกักปกติ 107 เซนติเมตร ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำ 80 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือประมาณ 926 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ปริมาณน้ำที่ระบายออก 451 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำจังหวัดขอนแก่น ได้ระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำ ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.54 เป็นต้นมา และปัจจุบันยังมีความจำเป็นต้องระบายน้ำต่อไปอีก จนกว่าระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำลดลงถึงระดับเก็บกักปกติ ระดับ 182 ม.เหนือระดับทะเลปานกลาง
“จากอิทธิพลพายุเนสาด ทำให้มีฝนตกบริเวณพื้นที่รับน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จึงมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปริมาณน้ำเข้าเขื่อนมากกว่าการระบายออก หากในระยะ 1-2 วันนี้ มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนมาก เขื่อนอาจจะมีการระบายน้ำในระดับเข้า 100% ระบายออก 100% ก็เป็นได้ จึงฝากถึงประชาชนในพื้นที่ อ.เมือง ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยอย่างเร่งด่วน”
**รง.หยุดกว่าพัน-ตกงาน3.5หมื่นคน
ด้านกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า มีโรงงานหยุดการผลิตทั่วประเทศแล้ว 1,166 แห่ง แรงงานหยุดงาน 35,000 คน ยังไม่รวม จ.พระนครศรีอยุธยา ที่นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ที่เพิ่งได้รับความเสียหายจากเหตุน้ำท่วม จนต้องหยุดการผลิตจำนวน 49 แห่ง และมีแรงงานได้รับผลกระทบกว่า 10,000 คน ขณะที่ส่วนอุตสาหกรรมโรจนะ ซึ่งมีโรงงาน 179 แห่ง มีแรงงานประมาณ 1 แสนคน โรงงานบางแห่งได้หยุดการผลิตแล้ว
ล่าสุด กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ขอความร่วมมือผู้ประกอบการช่วยลูกจ้างที่ไม่สามารถเดินทางไปทำงานได้หยุดงาน โดยไม่ถือเป็นวันลา และไม่มีความผิด รวมถึงให้คณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบการ ดูแลเรื่องรายได้ของลูกจ้างตามสมควร
**พระสังฆราชฯทรงห่วงปชช.
พระราชรัตนมงคล ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช สำนักเลขานุการ สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศฯ กล่าวว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงห่วงพระสงฆ์และประชาชนที่ประสับภัยน้ำท่วมเป็นอย่างมาก จึงมอบหมายให้ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ทำหนังสือถึง สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ขอความร่วมมือวัดทุกวัด ที่ไม่ประสบปัญหาน้ำท่วมทั่วประเทศ บิณฑบาต ข้าวสาร อาหารแห้ง ในช่วงออกพรรษา เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด และวัดประจำจังหวัด เป็นศูนย์กลางรวบรวมอาหารแห้งต่างๆ และปัจจัยต่างๆ ในการนำส่งมอบต่อไปยังพระสงฆ์และผู้ประสบภัยน้ำท่วมตามพื้นที่ต่างๆ ต่อไป
ทั้งนี้ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชฯ ยังเปิดเป็นศูนย์รับบริจาคสิ่งของและปัจจัย เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมด้วย โดยประชาชน สามารถนำสิ่งของต่างๆ โดยเฉพาะ น้ำดื่ม มาบริจาคที่สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้ทุกวันด้วย
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 6 ตุลาคม 2554 22:29 น.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น