ศิลปวัฒนธรรม ท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ Thailand > เรื่องทั่วๆไปที่คนไทยควรรู้ >
วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
บ้านของเรา… มีชัย ฤชุพันธ์
เมื่อ 60ปีกว่าๆ บ้านของเรายังถูกจัดให้เป็นบ้านด้อยพัฒนา วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนถูกมองว่าล้าหลัง เทียบไม่ได้กับบ้านอื่นเมืองอื่น แม้แต่กับเพื่อนบ้านที่อยู่ไม่ไกลกันนัก แต่คนในบ้านเราก็ยังภูมิใจที่บ้านเรามีสิ่งวิเศษสุดที่คนอื่นไม่มี หรือถึงมีก็เทียบไม่ได้
เรามีพ่อที่รักและห่วงใยเรา
ยุคสมัยนั้นเป็นยุคที่บ้านเราเริ่มมีกติกาการจัดการบ้านในรูปแบบใหม่ได้เพียงไม่กี่ปี ตามกติกาใหม่เขากำหนดให้พ่อเป็นหัวหน้า โดยมีผู้บริหารจัดการกิจการต่างๆของบ้านแยกต่างหาก แม้ตามกติกาจะกำหนดว่าพ่อมีอำนาจหลายอย่าง แต่อำนาจเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่แบบพิธี คนที่ใช้อำนาจนั้นจริงๆคือคณะผู้บริหารจัดการ
ตามความจริง พ่อมีแต่หน้าที่ โดยไม่มีอำนาจ
หน้าที่ที่จะต้องเป็นห่วงใย ช่วยเหลือ เกื้อกูล ผู้คนในบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข และพ่อเองก็มีความสุขกับการทำหน้าที่นี้โดยไม่มีอำนาจ
แตกต่างไปจากพ่อของบ้านอื่น ที่บางคนพยายามขวนขวายเข้าไปแบ่งแย่งอำนาจกับเขา บางคนก็อยู่เย็นเป็นสุขเสียเอง
คณะผู้บริหารจัดการผลัดกันเข้ามาใช้อำนาจคณะแล้วคณะเล่า จนจำกันไม่ได้ว่ามีกี่คณะ บางคณะก็ใช้อำนาจจนลูกบ้านเดือดร้อนแทบเอาชีวิตไม่รอด บางคณะก็เข้ามากอบโกยหาผลประโยชน์ บางคณะก็ทะเลาะเบาะแว้งจนไม่เป็นอันทำงาน
พ่อมีแต่ความรักและห่วงใยในลูกบ้านของพ่อ พ่อจึงคงต้องอดทน อดกลั้น ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย
แต่พ่อก็เคร่งครัดกับกติกาที่กำหนดไว้ ไม่เข้าข้างใคร หรือเข้าไปก้าวก่ายกิจการใดที่ไม่ใช่หน้าที่ของพ่อมีแต่คอยให้กำลังใจให้เขาทำความดี ถ้าเขามีปัญหาหรืออุปสรรคใดมาขอคำแนะนำ พ่อก็ให้ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้าน
สิ่งหนึ่งที่พ่อทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ คือหน้าที่ที่มีต่อลูกบ้าน
เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว พ่อเดินทางไปประเทศต่างๆทีมีสัมพันธไมตรีกับเรา เพื่อให้เขารู้ถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของเราอย่างถูกต้อง
เมื่อจบภารกิจนั้นแล้ว พ่อก็ไม่เคยขึ้นเครื่องบินเดินทางไปประเทศไหนอีกเลยนอกจากไปลาวเพื่อเปิดสะพานเมื่อไม่กี่วันมานี้
เพราะพ่อเริ่มทำหน้าที่ที่พ่อเห็นว่าสำคัญที่สุด คือการเยี่ยมเยียนและดูแลให้ลูกบ้านอยู่เย็นเป็นสุข
พ่อรู้ว่าในการพัฒนาบ้านให้เจริญทัดเทียมกับนานาอารยะ จะมีคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่ถูกกระทบจากผลของการพัฒนา และอาจไม่ได้รับการดูแลให้มีที่ยืนในสังคมยุคใหม่ได้
เป็นการเหลือบ่ากว่าแรงที่คณะผู้จัดการจะติดตามไปดูแลได้ทั่วถึง
พ่อจึงต้องช่วยเหลืออีกแรงหนึ่งเพื่อให้เขามีที่ยืนอยู่ได้ตามสมควร
เป็นเวลาหลายสิบปีที่พ่อทำหน้าที่นี้ จนถึงวันนี้ วันที่พ่อป่วยอยู่ในโรงพยายาล พ่อก็ยังทำหน้าที่อยู่
พ่อเดินทางไปทั่วแทบจะทุกตารางนิ้ว ที่ที่พ่อไปมากที่สุด คือที่ที่กันดาร และที่ลูกบ้านมีชีวิตอย่างแร้นแค้นหรือลำบาก
พ่อบุกป่าผ่าดง เดินเป็นกิโลๆ เพื่อเข้าไปให้ถึงชาวบ้านได้ดูสภาพความเป็นอยู่และได้พูดคุยกับเขาด้วยตัวเอง
ระยะทางที่พ่อเดินตลอดเวลาหลายสิบปี คงไม่มีนักเดินมาราธอนที่ไหนจะเทียบได้
พ่อเก็บข้อมูลทุกอย่างที่ได้เห็นได้ฟัง และนำมาศึกษาต่อ พ่อจึงรู้หมดว่าพื้นดินที่ไหนสูง ที่ไหนต่ำ ต้นน้ำที่เป็นหัวใจการเกษตรอยู่ที่ไหน น้ำมาจากไหน และหายไปไหน และทำอย่างไรจึงจะเก็บไว้ใช้ประโยชน์ได้
พ่อได้รู้ว่าลูกบ้านมีปัญหาอะไร ทำไมจึงมีปัญหา และจะแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร ที่สำคัญทำอย่างไรลูกบ้านจึงจะอยู่เป็นเป็นสุข
พ่อไม่ได้เอาเงินไปแจก ไม่ได้ใช้วิธีสั่งการ หรือใช้กฎเกณฑ์ไปบังคับ
แต่พ่อคุยกับเขาถึงปัญหาที่มีอยู่ และผลที่จะเกิดขึ้นจากการแก้ไขปัญหา จนเห็นดีเห็นงาม และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
ชีวิตลูกบ้านที่มีแต่ความทุกข์หรือแร้นแค้น จึงค่อยๆ กระเตื้องขึ้น และอยู่เย็นเป็นสุขในที่สุด โดยไม่ต้องแบมือขอเงินหรือขอรับการบริจาคจากใคร
ความอยู่เย็นเป็นสุขที่ยืนอยู่บนความอดทน ขยัน และลำแข้งของตนเอง
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จึงยังอยู่สมบูรณ์พร้อม
จากหมู่บ้านไปตำบล จากตำบลไปอำเภอ จากอำเภอไปจังหวัด พ่อทำหน้าที่ของพ่ออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ข้อมูลของพ่อ เชื่อถือได้เสมอ เพราะพ่อเดินไปเก็บมาด้วยตนเอง
ในเวลาที่พ่อต้องนอนป่วยอยู่ที่ในโรงพยาบาล พ่อยังใช้ข้อมูลเหล่านั้นมาช่วยในการทำหน้าที่ของพ่อเพื่อเตือนให้ลูกบ้านรู้ล่วงหน้าถึงภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้น
พ่อทำหน้าที่ของพ่อได้สำเร็จ จนเป็นที่ชื่นชมของคนทั่วโลก
ไม่ใช่เพราะพ่อมีอำนาจ
แต่เป็นเพราะพ่อทำหน้าที่ด้วยความรัก ความห่วงใยและความปรารถนาดี ที่มีต่อลูกบ้าน ด้วยความอุตสาหะไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย พ่อจึงทำหน้าที่ได้สำเร็จโดยไม่ต้องมีอำนาจ
ใครจะทำได้อย่างพ่อบ้าง
ในฐานะลูกบ้าน จึงขอกราบพระบาท “พ่อ” มาด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
ขอขอบคุณ มติชน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น