วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ราชการุณย์.. ณ เขาล้าน เรื่องที่ชาวไทยควรรับรู้


speech2

เมื่อไปเที่ยวที่ศูนย์ราชการุณย์ เขาล้าน จ.ตราด ทำให้ทราบว่า พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ ไม่เพียงแต่พี่น้องชาวไทยเท่านั้น ยังแผ่กว้างไปถึงพี่น้องชาวเขมรผู้ตกทุกข์ได้ยาก

….ในคราวที่คนเขมรนำกำลังเวียดนามมายึดประเทศตัวเอง และเข่นฆ่าคนเขมรด้วยกันเอง….

……………………..

7l3q1 (1)

นำมาจาก “หนังสือราชการุณย์”

…..วันที่เสด็จพระราชดำเนินไปคราวแรก ตรงกับวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๒๒ ทรงมีพระราชดำรัสว่า

“ฉันยังจำได้ดี เดือนพฤษภาคม ๒๕๒๒ ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับแรมที่หัวหิน ผู้ว่าราชการจังหวัดตราดแจ้งมาว่า มีเขมรลี้ภัยหลั่งไหลเข้ามาในเขตไทยบริเวณเขาล้าน อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ผ่านเข้ามาทางแนวเทือกเขาบรรทัดจำนวนกว่าสองแสนคนอยู่ในสภาพทุกข์ทรมานแสนสาหัส มีเด็ก ๆ เจ็บหนักเนื่องจากขาดอาหาร จำนวนคนมีกรรมหนาที่หลั่งไหลเข้ามานี้มากเกินความสามารถของทางจังหวัดที่จะรับผิดชอบช่วยเหลือได้

ฉันเป็นสภานายิกาของกาชาดจึงบินไปดูด้วยตนเอง พบว่าบริเวณเขาล้านไปจนชายทะเล แน่นขนัดไปด้วยชาวเขมรลี้ภัยไม่น่าเชื่อว่าพื้นที่ใหญ่ ๆ เช่นนั้น ซึ่งมีลมทะเลพัดอยู่ตลอดเวลา กลิ่นอุจจาระและปัสสาวะจะคลุ้งตลบไปหมดถึงเพียงนี้

ภาพเขมรบ้านแตกเมืองล่มที่เห็นอยู่ต่อหน้านั้น เป็นภาพที่ประทับอยู่ในความทรงจำของฉันไม่มีวันลืมเลือน พวกเขานอนบนพื้นดินแฉะ ๆ ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง

แต่ละก้าวของฉันที่เดินตรวจตราดูผู้ลี้ภัย ยังต้องคอยระวังมิให้เหยียบไปบนคนที่นั่งนอนระเกะระกะ และเสบียงอาหารที่เขาฉวยติดตัวมาด้วย คือปลาเล็ก ๆ ที่วางผึ่งแดดอยู่คละไปกับกองอุจจาระ

ตลอดจนไถ้ใส่ข้าวสารที่เขาแบกสะพายมา พื้นดินบ้างก็เป็นบ่อ เวลาฝนตก น้ำจะขังอยู่เป็นแอ่ง… นั้นแหละคือน้ำที่เขาใช้ดื่มกิน สภาพของผู้คนที่สุดแสนจะน่าเวทนาเหล่านี้ เป็นภาพที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งฉันอยากให้ผู้ที่สุขสบายอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ได้เห็นสภาพของคนที่สิ้นชาติ สิ้นแผ่นดินเช่นนี้เหลือเกิน..”

uxiq5

สภาพของเขมรอพยพในครั้งนี้เป็นภาพที่น่าสลดใจของผู้พบเห็นดังพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ อีกตอนหนึ่งว่า

“….ความโง่ทำให้คนเราประมาท ครั้งญวณล่ม ลาวแตก ฉันตกใจ ..ตกใจมาก แต่มันยังไม่กระทบใจ ไม่ซึมซาบเท่ากับภาพที่กระทบตาฉันอยู่ขณะนี้ อย่างภาพเด็ก ๆ ที่อดอาหารนอนเป็นโครงกระดูกอยู่ สักแต่ว่ามีลมหายใจอยู่เท่านั้น…”

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ บรมราชินีนาถ ผู้ทรงพระราชทานกำเนิดศูนย์อพยพเขาล้าน เพื่อชาวเขมรเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ” …ฉันตัดสินใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เหล่านี้ เท่าที่กำลังความสามารถของฉันจะมี…” พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ ๒๖ พ.ค. ๒๕๒๒

K6764842-51

นายปัญญา ฤกษ์อุไร ผู้ว่าราชการจังหวัด(ในขณะนั้น) ได้เล่าถึงความรู้สึก ในหนังสือเล่มนี้ บางส่วน ….เมื่อเมืองศรีประจันตคีรีเขตและเมืองเกาะกงแตกแล้วแม่ทัพภาคที่ ๕ ของเวียดนามก็ไม่รั้งรอ มีคำสั่งด่วนให้กองพลที่ ๔ ๕ และ ๖ รีบรุกไล่บรรดาเขมรแดงฝ่ายพอลพตและบรรดาประชาชนพลเมืองฝ่ายที่เข้าข้างพอลพตทั้งหมด ….คำสั่งของเขาคือจับตายไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ใช้อาวุธทุกชนิดที่มีอยู่ทำการรุกไล่อย่างกระชั้นชิดโดยไม่ลดละ …..ฉะนั้น ในระยะตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๒๒ จนถึงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๒ บรรดาเขมรอพยพหนีตายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารมากขึ้นเป็นลำดับ ….พอถึงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๒๒ ปรากฏว่ามีเขมรหนีตายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารถึง ๙๐,๐๐๐ คน ซึ่งเป็นการเกินสติกำลังปัญญาของข้าพเจ้าในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดจะช่วยเหลือบรรดาเขมรอพยพเหล่านี้อย่างทั่วถึงและให้ได้ผลได้ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรกับภาระอันแสนหนักในครั้งนี้ ….ทางรัฐบาลและนโยบายกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งถึงผู้ว่าฉบับเดียวคือให้จังหวัดผลักดันพวกเขมรเหล่านี้ออกไปให้ได้ เรื่องอื่นไม่ต้องพูด ส่วนวิธีผลักดันจะทำกันอย่างไร ไม่มีการอธิบายเพิ่มเติมหรือแนะแนวทางให้จังหวัดปฏิบัติ คงสั่งให้ผลักดันเท่านั้น ….เมื่อจังหวัดขอความช่วยเหลือไปก็ไม่ได้ผล เพราะเมื่อสั่งให้ผลักดันแล้วก็ย่อมไม่มีงบประมาณช่วยเหลือใด ๆ ไม่ว่าข้าวปลาอาหารหรือแม้แต่ยารักษาโรค เป็นอันว่าเหลวทั้งสิ้น …..จะผลัดดันอย่างไรชาวเขมรตั้งเก้าหมื่นคน ลองให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมานั่งผลักดันดูเองเถอะน่า แล้วจะรู้ว่าผลักยังไงก็ไม่ไหว ข้าพเจ้าคิดอยู่แต่ในใจ แต่ไม่กล้าพูด… …พอดีขณะนั้น นายวีระ อินทประเสริฐ เป็นกำนันตำบลไม้รูด มีที่ดินอยู่ที่บ้านเขาล้านติดถนนใหญ่และติดทะเลอีกด้านหนึ่ง อยู่หลังที่อยู่อาศัยของคนไทย มีเนื้อที่ประมาณ ๔๐๐ ไร่ ข้าพเจ้าจึงเอยปากขอยืมใช้ให้เขมรอพยพอยู่ชั่วคราว ซึ่งแกก็ไม่ขัดข้อง จะขัดข้องได้อย่างไรเล่าครับ เมื่อผู้ว่าฯ เอ่ยปากขอยืมทั้งที อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าบอกว่าจะขอใช้ยืมชั่วคราวประหนึ่งว่าสักระยะหนึ่งแล้วจะให้เขมรอพยพพวกนี้ไปอยู่ที่อื่น แกคงไม่รู้หรอกว่าในที่สุดพวกเขมรอพยพยังคงปักหลักอยู่ที่เขาล้านบนที่ดินแห่งนี้ตราบเท่าจนทุกวันนี้ เพราะแกถูกคนร้ายลอบยิงตายกลางตลาดเทศบาลเมืองตราดในตอนเที่ยงของวันหนึ่งกลางเดือนมีนาคม ๒๕๒๒ จนบันนี้ตำรวจยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ขอให้บุญญานุภาพที่แกได้ให้ที่พักพิงแก่พวกเขมรอพยพเหล่านั้นได้อาศัยร่มไม้ชายคา จงดลบันดาลให้แก่ไปสู่ที่สุคติด้วยเถิด …..วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๒ ข้าพเจ้าพร้อมด้วยคุณหมอบูรพา จนทสูตร และหมอกับพยาบาลโรงพยาบาลจังหวัดตราด ได้ไปรักษาบรรเทาทุกข์ให้กับผู้อพยพชาวเขมร วันนี้รู้สึกแช่มชื่นขึ้นทั้งหมอ พยาบาลและคนไข้เพราะมียาดี ๆ ตามที่ต้องการ เมื่อ ๓ – ๔ วันก่อนหรือครับ มีแต่ยาแอสไพริน ยาแดง ยาเหลือง เป็นอย่างดีที่สุดเหตุที่หายามาได้มากมายอย่างนี้ เป็นเพราะข้าพเจ้านั่งคิดนอนคิดอยู่สามวันสามคืนจนปวดหัว (ภาษาเขมรเขาว่าปวดกะบาล) ก็ยังคิดไม่ออกจนกระทั้งถึงวันเสาร์ตอนเช้าภรรยาข้าพเจ้ามาจากกรุงเทพฯ

พอเห็นหน้าภรรยาข้าพเจ้าจึงสว่างไสว มีสติปัญญาเหมือนฟ้ามาโปรด ….

ที่ข้าพเจ้าดีใจ เพราะภรรยาข้าพเจ้าทำให้เกิดความคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน จะว่าภรรยาข้าพเจ้า คือ คำตอบที่คิดไม่ออกมาแล้วสามวันสามคืนก็คงจะได้ ด้วยเหตุที่หน้าที่ภรรยาข้าพเจ้าคือ หน้าที่ของนายกเหล่ากาชาดจังหวัด (นางบุญเลื่อน ฤกษ์อุไร) และนายกเหล่ากาชาด ก็คือ หน่วยหนึ่งของสภากาชาดไทยกรุงเทพฯ และสภากาชาดไทยมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นองค์สภานายิกา เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าก็มีโอกาสร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือไปยังสภากาชาดไทยผ่านภรรยาข้าพเจ้าได้ ….เราแจกกันอย่างมากก็ เอพีซี. หรือไม่ก็แอสไพรินคนละ ๔ เม็ดเดี๋ยวเดียวก็หมด ๑๐ ขวดเป็นแผลเน่าเปื่อยอย่างไรก็ทาให้แต่ยาเหลืองอย่างเดียวไม่มีอย่างอื่น แต่เมื่อจังหวัดได้รับความเมตตากรุณาจากสภากาชาดไทยเราก็พอมียาดี ๆ ให้แก่คนไข้ชาวเขมรได้บ้าง ทำให้พวกเขาแช่มชื่นขึ้น หมอและพยาบาลก็ไม่หนักใจมากนัก

A10495249-37

ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของสภากาชาดเป็นอย่างมาก ได้ยกมือขึ้นประนมเหนือหัวหันหน้าไปทางกรุงเทพมหานครที่ซึ่งพระประมุขแห่งชาติ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ องค์สภานายิกาสภากาชาดไทย ประทับอยู่ แล้วอธิษฐาน ด้วยบุญบารมีของพระองค์ทั้งสองของจงปกแผ่มาช่วยข้าพเจ้าและบรรดาเขมรอพยพเหล่านี้ด้วยเถิด เพราะข้าพเจ้าขัดสนสุดจะประมาณได้

K6764842-66

ภายหลังอธิษฐานจบแล้ว ข้าพเจ้าก้มกราบลงสามครั้ง พร้อมกับเขียนจดหมายหนึ่งฉบับถึงท่านศาสตราจารย์นายแพทย์หม่อมหลวงเกษตร สนิทวงศ์ เลขาธิการสภากาชาดไทย ข้อความตอนหนึ่งว่า

“…กระผมบรรยายไม่ถูกว่า บรรดาเขมรอพยพเหล่านั้นมีความรู้สึกอย่างไรต่อพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แต่กระผมแน่ใจที่สุดก็คือว่า เมื่อผมมองตาเขาในส่วนลึกของแววตาแต่ละคู่บ่งบอกว่า เขาสิ้นแล้วซึ่งอนาคตในชีวิตทั้งปวง เขาเป็นคนบ้านแตกสาแหรกขาด สิ้นไร้ไม้ตอกในทุกสิ่งทุกอย่าง ประเทศเขาเคยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

….แต่บัดนี้ประเทศเขาสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไปแล้วอย่างสิ้นเชิง คงมีแต่คำว่าคอมมิวนิสต์เขมรแดงไม่ว่าเฮงสำรินหรือพอลพตก็แดงทั้งนั้น ประเทศเขามีการฆ่าฟันกันไม่เว้นแต่ละวัน ไม่มีใครกรุณาปราณีใครอีกต่อไป แผ่นดินสิ้นกษัตริย์เป็นอย่างนี้แหละ เมืองไทยจึงมีบุญหนักหนาที่ยังคงมีพระมหากษัตริย์ มีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรร่มแก้วของแผ่นดิน ส่วนเขมรสูญสิ้นแล้ว และไม่มีวันจะเรียกสิ่งที่สูญเสียกลับคืนมาได้อีก

pic7

..เป็นความผิดของเขาด้วยหรือที่เขาหนีร้อนมาพึ่งเย็น หนีความตายมาสู่ความร่มเย็นเป็นสุข … กระผมต้องขอขอบคุณสวรรค์ที่เมืองไทยเรายังมีองค์พระประมุขและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นมิ่งขวัญของชนชาวไทย และเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรใบหนาอยู่ มิฉะนั้นแล้วเราอาจเป็นอย่างเขมรก็ได้ ใครจะรู้….

สัก ๓ – ๔ วัน ..ประมาณทุ่มหนึ่งกำลังจะขึ้นรถไประนอง ก็ได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากภรรยาซึ่งอยู่ที่จังหวัดตราด แจ้งว่า พรุ่งนี้เช้าวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๒๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จเขาล้าน เพื่อทรงเยี่ยมเขมรอพยพ

…เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จถึงโรงเรียนบ้านไม้รูด อำเภอคลองใหญ่ ข้าพเจ้าเข้าไปกราบบังคลทูลถวายรายงานให้ทรงทราบข้อมูลต่างๆ โดยละเอียด พระองค์ทรงฟังอย่างสนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง

และทรงรับสั่งถามถึงสถานที่ซึ่งจะตั้งศูนย์สภากาชาดไทยสักแห่งหนึ่งให้ได้ในวันนี้ เพราะจะได้ช่วยเหลือให้ได้ทันท่วงที

พอพระองค์ตรัสจบ ข้าพเจ้าเหงื่อแตกโป้ง ๆ เพราะข้าพเจ้ามิได้เตรียมการมาก่อนว่า จะตั้งศูนย์บรรเทาทุกข์ในวันนี้ คงมีแต่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่เท่านั้น

A10495249-36

ข้าพเจ้ากราบบังคมทูลว่า ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นที่ๆ เหมาะสมอยู่สองที่ แห่งหนึ่งคือที่ทำการตอนการทางตำบลไม้รูดแห่งหนึ่ง และที่บ้านเขาล้านซึ่งเขมรอพยพอยู่อีกแห่งหนึ่ง สมเด็จฯ ทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสเรียก หม่อมหลวง เกษตร สนิทวงศ์ฯ

“คุณลุงขา กรุณาไปดูที่ตั้งศูนย์บรรเทาทุกข์ที่ตอนทางการไม้รูดให้ทีเถิด” ศาสตราจารย์ นายแพทย์ หม่อมหลวงเกษตร สนิทวงศ์ รับคำ แล้วรีบออกไปดูสถานที่ทันที เมื่อศาสตราจารย์ นายแพทย์ หม่อมหลวงเกษตร ไปแล้ว

สมเด็จฯ ได้หันพระพักตร์มาทางข้าพเจ้า “ฉันจะไปดูที่ตั้งศูนย์บรรเทาทุกข์ของสภากาชาดไทยที่เขาล้าน ด้วยตนเอง”

ท่านตรัสจบ ข้าพเจ้าตกใจจนตาเหลือก เพราะข้าพเจ้าไม่คาดหมายว่าท่านจะเสด็จไปที่นั้น จึงไม่ได้จัดเตรียมที่ประทับไว้ อีกทั้งบริเวณนั้นอยู่ติดกับสันเขาบรรทัด เขตติดต่อเขมร ห่างกันเพียง ๕๐๐ เมตรเท่านั้น อยู่ในรัศมีปืนครกตลอดจนจรวดอาร์.พี.จี.ของฝ่ายตรงข้ามจะยิงมาได้โดยง่าย

ข้าพเจ้าจึงกราบบังคมทูลว่า “ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าขอรับสนองพระบรมราชโองการ ไปดูที่ตั้งศูนย์ด้วยตนเองจะสะดวกกว่าพระพุทธเจ้าข้า”

“ฉันคิดว่า ฉันอยากจะดูด้วยตนเอง จะได้วางแผนช่วยเหลือได้ถูกและฉันอยากเห็นคนตกทุกข์ได้อยากเหล่านั้นด้วย” เมื่อพระองค์ตรัสจบ ก็จัดแจงเดินทางไปบ้านเขาล้านทันที

ข้าพเจ้าตกใจจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า ท่านจะเสด็จไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองอย่างฉบับพลันทันที

“จะมีอะไรขาดตกบกพร่องบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ขอเจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าป่า เจ้าเขาช่วยลูกช้างด้วยเถิด” ข้าพเจ้านึกภาวนาในใจ

A10495249-31

เมื่อพระองค์ท่านเสด็จฯ ถึงบรรดาทหารตำรวจ ก็ห้อมล้อมให้ความอารักขาอย่างเหนี่ยวแน่น สมเด็จฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมผู้อพยพทันที ท่ามกลางแดดร้อนตอนเที่ยงวัน ทรงพระราชดำเนินตั้งแต่ต้นหัวบ้านเขาล้านไปจนจรดชายทะเล ระยะทางประมาณ ๒ – ๓ กิโลเมตร โดยมิได้ทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย

ขณะนั้นเป็นหน้าฝน ฝนเริ่มตกมาบ้างแล้ว พื้นดินบางแห่งแฉะเละเป็นโคลน ท่านก็พระราชดำเนินตามปกติมิได้บ่นว่าประการใด ทำให้ข้าพเจ้าโล่งใจขึ้นมาจากความวิตกกังวลเมื่อครู่นี้ ตอนที่ออกไปชายทะเลข้าพเจ้าเป็นห่วงมาก ๆ เพราะเช้า ๆ พวกเขมรแดงเหล่านี้ออกไปปล่อยสิ่งปฏิกูลเอาไว้เป็นกอง ๆ กองใหญ่บ้างเล็กบ้าง ข้าพเจ้าต้องคอยสังเกตพระบาทของพระองค์ท่าน และคอยนำทางหลีกเลี่ยงบรรดาข้าวเม่าทอดเหล่านั้นเสีย และดูเหมือนท่านจะทรงทราบดีว่าทำไมข้าพเจ้าจึงนำเสด็จฯ พระองค์ท่านเลี้ยวไปเลี้ยวมา เหมือนงูเลื้อยอย่างนั้น พระองค์ท่านทรงรับสั่งกับท่านผู้หญิงสุประภาดา เกษมสันต์ ว่า

“วันนี้ดินฟ้าอากาศแจ่มใสดี ฤกษ์บนดีแต่ฤกษ์ล่างไม่สู้ดีนัก” ท่านผู้หญิงฯตอบรับแล้วอมยิ้มเพราะคงเข้าใจความหมายว่า พระองค์ท่านหมายถึงอะไร

จากนั้นท่านเสด็จฯ มาประทับยืนและประทับนั่งอยู่ใกล้กับ ฮ.พระที่นั่งซึ่งลำตัวสีฟ้าคาดแดงมองเห็นได้จากระยะไกล แม้จากสันเขาบรรทัด

A10495249-29

ข้าพเจ้าแหงนหน้ามอง เห็นเครื่องบินคุ้มกันอารักขาของกองทัพไทย บินวนเวียนอยู่ไปมาแล้วก็สบายใจ ข้าพเจ้าอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และด้วยอำนาจบุญญาบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จงช่วยคุ้มครองป้องกันสรรพอันตรายต่าง ๆ อย่าได้แผ้วพานพระองค์ท่านได้เลย จงคุ้มครองป้องกันพระองค์ท่านด้วยเถิด

ประมาณ ๑๖.๐๐ น. วันนั้นสมเด็จฯ ก็เสด็จกลับและได้ชี้ที่ตั้งศูนย์บรรเทาทุกข์ถาวรของสภากาชาดไทย ธงกาชาดไทยสะบัดพลิ้วตามลม เมื่อพระองค์ท่านเสด็จกลับ ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แม้พระองค์ท่านเสด็จกลับแล้ว …..ยังรับสั่งให้ท่านผู้หญิงสุประภาดา เกษมสันต์ แพทย์หญิงคุณตวัน สุรวงศ์ บุนนาค นายแพทย์เจียมศักดิ์ สุทธิภักดี นายแพทย์ยิ่งศักดิ์ เจียมไชยศรี นายแพทย์ดิเรก ณ ถลาง และคุณจรุงจิตต์ อุรัสยะนันทน์ อยู่ช่วยเหลือผู้อพยพก่อนอย่างน้อย ๑๐ วันจนกว่าจะมีชุดใหม่มาเปลี่ยน

9zwq2

….เมื่อเครื่องบินพระที่นั่งโผสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานครนั้น พวกเราทุกคนดูเหมือนจะกระทำการอย่างเดียวกันเหมือนนัดหมาย กล่าวคือ ยกมือขึ้นพนมเหนือหัวและพึมพำในใจ

“ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเทอญ” และศูนย์อพยพเขมรที่เขาล้านก็ก่อกำเนิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

K6764842-87

ในการเสด็จฯ ไปเยี่ยมศูนย์อพยพชาวเขมรในวันนั้น สิ่งที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ มิได้ลืมก็คือ ทุกข์สุขของคนไทยที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น และได้สั่งให้พวกเราดูแลและช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดอีกทางหนึ่งด้วย

สมเด็จองค์สภานายิกาสภากาชาดไทย มิได้ทรงละเลยประชาชนของพระองค์ ได้เสด็จ ฯ ทรงเยี่ยมและพระราชทานความช่วยเหลือแก่ชาวไทยในพื้นที่ใกล้เคียงกับศูนย์สภากาชาดไทยเขาล้าน จังหวัดตราด

ต่อมา คือ “ศูนย์ราชการุณย์”สภากาชาดไทย เขาล้าน

……………………………….

ที่มา : บางส่วนจากความเห็นคุณ Max2000 ใน pantip.com



http://www.chaoprayanews.com/2014/07/24/%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%93%e0%b8%a2%e0%b9%8c-%e0%b8%93-%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99-%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7/


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น