วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ทักษิณควรหยุด!! พิสูจน์ความจริงใจ




หนึ่งประเด็นที่หลงเหลือมาจากการจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบรอบ 65 ปี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โรงแรม โฟรซีซั่นส์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา นั่นก็คือข้อความบนการ์ด



หนึ่งประเด็นที่หลงเหลือมาจากการจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบรอบ 65 ปี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โรงแรม โฟรซีซั่นส์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา นั่นก็คือข้อความบนการ์ด ที่ พ.ต.ท.ทักษิณเขียนด้วยลายมือตัวเอง โดยระบุถึงพี่น้องประชาชนคนไทย เนื้อหาในการ์ดดังกล่าว ระบุสั้นๆ ว่า




เรา มีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ
เรา ห่วงใยประเทศชาติ
เรา รักและห่วงใยพี่น้องประชาชน
เรา อยากเห็นความสามัคคีของคนในชาติ

พร้อมทั้งลงท้ายเอาไว้ว่า ด้วยความจริงใจ ทักษิณ ชินวัตร ลงวันที่ 26 ก.ค.57




ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อความในการ์ดดังกล่าว ทั้งที่ระบุถึงความจงรักภักดีต่อสถาบัน ความห่วงใยพี่น้องประชาชน ซึ่งก็ต้องเรียนว่าเป็นวาทกรรมเดิมๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ พูดมาตลอดนับตั้งแต่หลบหนีออกนอกประเทศ และหากว่าครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จริงใจเหมือนเช่นที่สื่อสารออกมาจริงๆ ก็ควรพิสูจน์ให้เห็นว่าจะไม่มีพฤติกรรมเหมือนเช่นที่ผ่านมา ด้วยการยุติทุกๆ ความเคลื่อนไหว และหยุดให้การสนับสนุนทางการเมืองกับเครือข่ายทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม หากว่ากันเฉพาะแค่การ์ดข้อความล่าสุด รวมทั้งการจัดงานวันเกิดที่เพิ่งผ่านพ้นไป ที่มีทั้งการโพสต์ทั้งภาพนิ่ง และคลิปวิดีโอ บรรยากาศการจัดงาน ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหล่านี้ถือเป็นการสร้างกระแสทางการเมืองขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้




ดังนั้น สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ควรจะทำจริงๆ ในขณะนี้ คือ ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบในต่างประเทศ เลิกข้องเกี่ยวกับการเมืองไทยในทุกๆ ด้านขณะเดียวกัน หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยากที่จะเดินทางกลับประเทศไทย ก็ต้อง กลับมารับโทษในคดีที่มีการพิพากษาไปแล้ว และต่อสู้กันตามกระบวนการทางกฎหมายในคดีที่ยังพิจารณาค้างกันอยู่ ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ได้ระบุว่าในรายการ คืนความสุขให้คนในชาติ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา บางช่วงบางตอนในการแถลงดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ทุกฝ่ายต้องยอมรับกฎกติกาของสังคมให้เป็นไปตามกฎหมาย และไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะกฎหมายมีไว้ เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข ไม่ได้มีไว้เพื่อสร้างความขัดแย้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผู้กระทำความผิดจริงก็ต้องถูกลงโทษ ถ้าไม่ให้ถูกลงโทษก็ต้องหนีไป ซึ่งจะอยู่ในประเทศไทยไม่ได้ ถ้ากลับมาอยู่ที่ประเทศไทยต้องถูกติดตามจับกุมดำเนินคดี




ในกรณี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดที่ชัดเจนในคดีทุจริต ที่ดินรัชดา ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาเอาไว้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 และในวันนี้ สำนักข่าวทีนิวส์ จะได้ย้อนความผิดในคดีดังกล่าวให้กับท่านผู้ชมได้ทำความเข้าใจกันอีกครั้งนึงค่ะ แรกเริ่มเดิมที ที่ดินรัชดา เป็นของบริษัทเงินทุน เอราวัณ ทรัสต์ จำกัด แบ่งออกเป็น 2 แปลง แปลงที่ 1 ติดถนนศูนย์วัฒนธรรม เนื้อที่ 85-3-65 ไร่ แปลงที่ 2 ติดถนนเทียมร่วมมิตร เนื้อที่ 35-2-69 ไร่ หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2538 บริษัทเงินทุน เอราวัณ ทรัสต์ จำกัด ประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก ส่งผลให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 2 พ.ศ.2540 และฉบับที่3 พ.ศ.2541 เข้าฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินแห่งนี้ให้มีความมั่นคงและเสถียรภาพ ภายใต้การบริหารงานเพื่อปรับสภาพคล่องทางการเงิน ส่งผลให้กองทุนฟื้นฟู กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ถึงร้อยละ 92 แต่เนื่องจากสถานะเงินกองทุนของบริษัทเงินทุนเอราวัณ ทรัสต์ในขณะนั้นติดลบ กองทุนฟื้นฟูจึงเข้าไปซื้อที่ดินทั้ง 2 แปลงของบริษัทเงินทุน เอราวัณ ทรัสต์ แปลงที่ 1 ใน ราคา 2,749,040,000บาท บาท แปลงที่ 2 ราคา 2,140,357,500 บาท ทำให้สภาพทางการเงินของบริษัท เอราวัณ ทรัสต์ คล่องตัวขึ้น




ต่อมาปี พ.ศ.2544 ได้มีการปรับปรุงเกณฑ์บันทึกการบัญชีทรัพย์สินรอการขายของกองทุนฟื้นฟูใหม่ทั้งหมด โดยใช้ราคาประเมินของกรมที่ดินในขณะนั้น เป็นราคาที่สะท้อนมูลค่าจริง แทนราคาตลาด ส่งผลให้ราคาที่ดิน แปลงที่ 1 มูลค่าลดลงเหลือ 1,131,100,000 บาท แปลงที่ 2 เหลือ 754,500,000 บาท หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2546 คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟู มีมติให้ทำการประมูลขายที่ดินแปลงที่ 2 โดยกำหนดราคาขั้นต่ำที่ 870,000,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาประเมินของกรมที่ดิน กว่า 124 ล้านบาท แต่ไม่มีผู้ใดเสนอราคามาให้พิจารณา จึงยกเลิกการประมูลขายที่ดินไป




ต่อมา กองทุนฟื้นฟูทำการรังวัดแบ่งที่ดินแปลงที่ 2 ใหม่ โดยกั้นส่วนที่เป็นสาธารณะประโยชน์ออก จนเหลือเนื้อที่รวม 33-0-78.9 ไร่ จากเดิม 35 ไร่ แล้วประกาศขายอีกครั้ง ซึ่งไม่ได้กำหนดราคาขั้นต่ำไว้ แต่ผู้เข้าประกวดราคาต้องวางเงินมัดจำสูงถึง 100,000,000 บาท ภายในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2546 ซึ่งทำให้ถูกมองว่าเป็นการกำหนดราคาประกันขั้นต่ำที่สูงมาก จนทำให้มีผู้เข้าแข่งขันน้อยราย การประมูลครั้งที่ 2 มีผู้ร่วมยื่นซองประมูล 3 ราย ซึ่งรวมถึงคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ที่เสนอราคาสูงสุดที่ 772,000, 000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในการประมูลครั้งแรก 98 ล้านบาท จนได้สิทธิ์ทำสัญญาซื้อขายและรับโอนที่ดินในวันที่30ธันวาคม พ.ศ.2546 โดยมีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ลงนามให้ความยินยอมทำสัญญา ในฐานะสามีของคุณหญิงพจมาน





และนอกจากนั้นยังเป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ดินผืนดังกล่าว เป็นพื้นที่สีส้มตามผังเมืองกรุงเทพมหานคร เพราะอยู่ติดกับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ห้ามปลูกสิ่งก่อสร้างเกิน 23 เมตร แต่ต่อมาได้มีการแก้ไขข้อบังคับนี้ ให้สามารถก่อสร้างที่พักอาศัยเกิน 23 เมตร กรณีใช้พื้นที่ไม่เกินร้อยละ10 บวกกับข้อกล่าวหา ในช่วงสิ้นปี พ.ศ.2546 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเลื่อนวันหยุดปีใหม่ โดยให้วันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันทำงาน ซึ่งมีแนวโน้มในการเอื้อประโยชน์ให้การซื้อขายที่ดิน เพราะหากดำเนิน การหลังปี พ.ศ.2546 การประเมินราคาจะกลายเป็นหน้าที่ของกรมธนารักษ์ซึ่งอาจมีการคำนวณราคาที่สูงขึ้น ทำให้ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ต่อมาศาลได้วินิจฉัยให้พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน พ้นข้อกล่าวหา ใน 2 ประเด็นดังกล่าว เนื่องจากไม่พบความเกี่ยวโยงที่ส่อไปในทางทุจริต จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อกองทุนฟื้นฟู จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า กระบวนการยุติธรรมของไทย ก็ได้พิจารณาและวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงด้วยความเป็นธรรม




ทั้งนี้ในช่วงปีเกิดเหตุ นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนในขณะนั้น ถือเป็นส่วนสำคัญในการนำข้อพิรุธทั้งหมด เข้าร้องต่อกองปราบปรามและป.ป.ช.ให้มีการดำเนินคดี แต่เรื่องก็ไม่ได้รับการพิจารณา ก่อนจะถูกคตส.นำมาปัดฝุ่นใหม่ภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 และท้ายที่สุด ในวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ก็กลายมาเป็นวันที่เปลี่ยนชะตากรรมของพ.ต.ท.ทักษิณ จากผู้ที่มีอำนาจล้นฟ้ากลายเป็นนักโทษหนีคดี เมื่อศาลพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ให้มีความผิดในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก จนถูกพ.ต.ท.ทักษิณ และเครือข่ายออกมาโจมตีว่า ระบบยุติธรรมไทย 2 มาตรฐาน และยังเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความขัดแย้งให้กับบ้านเมืองมาจนถึงทุกวันนี้ เจาะลึกถึงข้อเท็จจริงของคำพิพากษา เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีนายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา พร้อมองค์คณะผู้พิพากษาได้ออกนั่งบัลลังค์ อ่านคำพิพากษาลับหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 ซึ่งหลบหนีออกไปประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 10ส.ค.2551 ซึ่งได้พิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 (1) วรรคสาม และมาตรา 122 วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ส่วนความผิดฐานอื่นและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณจำเลยที่ 2 มาตรา 100 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 บัญญัติไว้ว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดำเนินการกิจการต่อไปนี้




(1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี เมื่อกฎหมายกำหนดไว้เป็นแบบนี้เหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่ได้เข้าเป็นคู่สัญญาเองจึงมีความผิด มาตรา 100 วรรค 3 ระบุว่าให้นำบทบัญญัติในวรรค1มาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรค 2 โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรสดังกล่าว เป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ




และเมื่อย้อนไปดูพฤติกรรมในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจะเห็นว่า เมื่อคุณหญิงพจมานได้ทำการประมูลที่ดินรัชดาภิเษก 33 ไร่ มูลค่า 772 ล้านบาท จากกองทุนฟื้นฟู ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2546 พ.ต.ท.ทักษิณได้ทำหนังสือลงลายมือชื่อยินยอมในฐานะคู่สมรสตามกฎหมาย เพียงเท่านี้ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณเข้าข่ายความผิดในมาตรา 100 วรรค 3 ตามที่ศาลได้มีคำพิพากษาออกมา ส่วนบทลงโทษตามมาตราดังกล่าวได้บัญญัติไว้ชัดเจนที่ มาตรา 122 ระบุว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 100 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน3ปีหรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท จะเห็นได้ว่ากฎหมายกำหนดโทษไว้จำคุกได้ 3 ปี





แต่ศาลก็พิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณเพียง 2 ปีเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้จะเห็นได้การพิพากษาลงโทษที่น้อยกว่าที่ได้กำหนดไว้ด้วยซ้ำนอกเหนือ จากคดีทุจริตที่ดินรัชดาที่เพิ่งไล่เรียงจบไปนั้น ยังมีคดีความอื่นๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ มีความเกี่ยวข้องอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งสำนักข่าวทีนิวส์ จะได้ยกตัวอย่าง ดังต่อไปนี้




1) คดีร่ำรวยผิดปกติ ให้ยึดทรัพย์สิน 76,621 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณตกเป็นของแผ่นดิน เป็นกรณีสืบเนื่องจากในระหว่างการไต่สวนของ คตส. ซึ่งได้ใช้อำนาจตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 30 มีคำสั่งอายัดเงินหรือทรัพย์สินของ พ.ต.ท. ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน (คู่สมรส) และครอบครัวบุตร บริวาร ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ที่ได้มาจากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ให้แก่กลุ่มกองทุน เทมาเส็ก ประเทศสิงค์โปร์ โดยมูลค่าเงินหรือทรัพย์สินที่สั่งอายัด จำนวน73,667,987,902.60 บาท แต่จำนวนเงินที่ได้รับแจ้งยืนยันการอายัด จำนวน 66,762,927,024.25 บาท ซึ่งต่อมา องค์คณะศาลฎีกานักการเมือง มีเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 ลงมติยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ให้ตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน 4.6 หมื่นล้าน แม้ต่อมา จะมีความพยายามในการอุทธรณ์ในคดีดังกล่าว แต่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติไม่รับไว้พิจารณา และในปัจจุบันคดีดังกล่าว ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง





2) คดีทุจริตโครงการออกสลากเลขท้ายพิเศษ 2 ตัว 3 ตัว หรือหวยบนดิน เป็นคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คตส. เป็นโจทก์ กล่าวหา พ.ต.ท. ทักษิณกับพวก รวม 47 คน กระทำความผิดเกี่ยวกับโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (คดีสลากเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว) ซึ่ง ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์แทนคตส. ในการพิจารณาคดีครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 ไม่มาศาล ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวและออกหมายจับเฉพาะจำเลยที่ 1 สำหรับจำเลยที่เหลือ จำนวน46 คนที่มาศาล ได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไป ปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล





3) คดีทุจริตปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ เอ็กซิมแบงก์ ให้กับรัฐบาลพม่า เป็นคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คตส. เป็นโจทก์ กล่าวหา พ.ต.ท. ทักษิณ กรณีทุจริตการอนุมัติให้เงินกู้แก่รัฐบาลสหภาพพม่า จำนวน 4,000 ล้านบาท (คดี Exim Bank) ซึ่ง ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์แทน คตส. ในการพิจารณาคดีครั้ง แรกเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2551 พ.ต.ท. ทักษิณ จำเลยไม่มาศาล ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว และออกหมายจับจำเลย





4) คดีทุจริตออกพระราชกำหนดแปลงค่าภาษีสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิตเพื่อเอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปฯ ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำเลยเพียงคนเดียว และศาลฎีกาได้ออกหมายจับไว้เช่นกัน





และ 5) คดีทุจริตธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้บริษัทกฤษดามหานคร ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ และนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณกับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา ล่าสุดศาลฎีกามีคำสั่งประทับรังฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณและพวก ยกเว้นนายพานทองแท้ และนางกาญจนาภา หงส์เหิร เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ที่นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ตัดรายชื่อออกไป ซึ่งในกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ศาลฎีกาได้อนุมัติออกหมายจับไว้แล้ว




http://www.tnews.co.th/html/content/99028/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น