แม้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะ ’ทำคลอด“ ยุทธศาสตร์เพื่อฟื้นฟูประเทศ 3 ระยะ เมื่อการประชุม ครม. วันอังคารที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา แต่นั่นก็เป็นเพียงการวางแนวทางในอนาคต ไม่ใช่การแก้ไขปัญหา ’น้ำท่วม“ โดยเฉพาะซึ่งสร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสใน 24 จังหวัดทั่วประเทศ
3 ระยะที่ว่านั้นประกอบด้วย
1. ระยะเฉพาะหน้าหรือระยะกู้ภัย มีเป้าหมาย 1-2 เดือน โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม รับผิดชอบ 2. ระยะสั้นหรือระยะซ่อม ซึ่งจะต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 1 ปี ด้วยการซ่อมแซมฟื้นฟูเยียวยาทั้งการให้เงินช่วยเหลือ เงินกู้ มี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ดูแล และ 3. ระยะยาว ด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุดประกอบด้วย 1. คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศหรือ กยอ. ที่มี ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกฯ เป็นประธาน และ 2. คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำหรือ กยน. ที่มี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน และมี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นที่ปรึกษา
ต้องบอกว่า ระยะยาว ที่รัฐบาลวางแนวทางไว้ถือเป็น ’ความหวัง“ ของคนทั้งชาติ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ ’ผู้ประสบภัย“ ทั้งหลายต้องการในเวลานี้
กรณี ศปภ. ซึ่งมี พล.ต.อ.ประชา ดูแล วันนี้ต้องบอกว่า มีลักษณะการทำงานแบบ ’วันต่อวัน“ แก้ไขปัญหาไปตามสถานการณ์ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ’สูญเสีย“ ความเชื่อมั่นจากสังคมไปอย่างมาก ทั้งการแก้ไขปัญหาที่ไม่เป็นเอกภาพ ไม่ทันท่วงที สับสน
ที่น่าสนใจคือ ระยะสั้นหรือระยะซ่อม ต่างหาก
หากย้อนดูการให้ความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐบาลนับตั้งแต่การตั้ง ศปภ. ขึ้นมาเพื่อรวมศูนย์แก้ไขปัญหาก็จะพบว่า มีความสงสัยเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การบริหาร
ของบริจาค การกักของบริจาค การใช้อภิสิทธิ์ของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ทั้งการจองของ การสวมชื่อตัวเอง หรือที่รุนแรงที่สุดคือ การปล่อยให้ของบริจาคลอยตามน้ำ ขณะที่มีการเคลื่อนย้าย ศปภ. มาอยู่ที่กระทรวงพลังงาน
เมื่อปรากฏหลักฐาน ความสงสัยจึงกลายเป็นความไม่ไว้วางใจเกิดขึ้น
ล่าสุดก็เกิดคำถามเรื่อง ’ถุงบริจาค“ ทั้งในส่วนที่ประชาชนบริจาคเข้ามา ส่วนที่สำนักนายกรัฐมนตรีจัดซื้อและส่วนที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดซื้อ
ข้อมูลที่พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะฝ่ายตรวจสอบโดยนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ ส.ส.เขต 31 ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร นำมาเปิดเผยระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 55 แม้จะเป็นส่วนหนึ่ง คือประมาณ 80 ล้านบาท และเป็นเฉพาะในส่วนของกรมป้องกันฯ แต่หลาย ๆ ประเด็นกลายเป็นที่ ’ค้างคา“ ของสังคมที่ต้องการหาคำตอบจากรัฐบาลโดยด่วน
กรณีจัดซื้อถุงยังชีพ 1 แสนถุง วงเงิน 80 ล้านบาทนั้น พิรุธตั้งแต่กระบวนการขั้นตอนการจัดซื้อที่ใช้เวลาแค่ 6 วัน ราคาที่ซื้อที่แพงกว่าราคาตลาดปกติทั้ง ๆ ที่ซื้อจำนวนมาก ความจำเป็นของ ’ของที่ซื้อ“ ซึ่งบางรายการไม่ควรจะบรรจุอยู่ในถุงยังชีพ แม้นายยงยุทธ ในฐานะที่กำกับดูแลโดยตรงจะระบุว่ามีการจัดซื้อในลักษณะเดียวกับรัฐบาลชุดที่ผ่านมาแต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่า ทำไมราคาและบริษัทที่มารับงานจึงตรงกันอย่างกับนัดหมาย
นายยงยุทธ ตอบข้อสงสัยกลางสภาไว้เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ว่า ไม่รู้ลึกในรายละเอียดแต่หากมีข้อมูลก็พร้อมที่จะตรวจสอบ ซึ่งผิดกับคำให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้าที่ระบุว่า อย่ามาถามตนเรื่องน้ำเพราะตนรับผิดชอบเรื่องถุงยังชีพ
นี่เป็น ’ความไม่ไว้วางใจ“ ในกรณีจัดซื้อถุงยังชีพเท่านั้น แต่ยังมีกรณีจัดซื้อสิ่งของอย่างอื่น ทั้งเรือ ทั้งเต็นท์ ซึ่งการจัดซื้อทั้งหมดล้วนมาจากเงินบริจาคทั้งสิ้น
อย่าลืมว่ากระทรวงมหาดไทย จะเป็นแม่งานในการสำรวจความเดือดร้อนของประชาชน จะมีอะไรเป็นหลักประกันได้ว่า ความช่วยเหลือจะลงไปอย่างทั่วถึง ไม่เกิดแบ่งฝักแบ่ง
ฝ่าย แบ่งพรรคแบ่งพวกเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับของบริจาคก่อนหน้านี้
ความน่าสงสัยอีกอย่างคือ เงินบางส่วนมอบให้กับมูลนิธิต่าง ๆ หนึ่งในนั้นตามข้อมูลระบุว่า มี มูลนิธิกระจกเงา ได้รับไป 3 ล้านบาท มูลนิธินี้มีโต้โผใหญ่คือ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งตรงนี้ก็เป็นอีกประเด็นที่รัฐบาลยังไม่มีคำตอบ
เมื่อเกิดข้อครหา จึงเป็นเรื่องด่วนที่รัฐบาลต้องทำความจริงให้กระจ่างโดยเร็วและโปร่งใสในทุกขั้นตอนการตรวจสอบ การตั้งคณะกรรมการโดยใช้คนของรัฐบาลจึงไม่ใช่การตรวจสอบที่ได้รับการ ’ยอมรับ“ เท่าที่ควร
อีกสิ่งหนึ่งที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านตั้งคำถามคือ งบกลาง วงเงิน 1.2 แสนล้านบาท ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 55 ซึ่งไม่มีรายละเอียดในการนำไปใช้ จะกลายเป็นปัญหาอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่
กรณี ’ถุงยังชีพ“ แม้วงเงินจะไม่มากหากเทียบกับงบประมาณการช่วยเหลือด้านอื่น แต่เงินเหล่านี้คือเงินที่คนในชาติมอบให้รัฐบาลในฐานะสื่อกลางไปช่วยผู้ที่เดือดร้อน
มูลค่าจึงไม่สำคัญเท่ากับการนำไปใช้ให้ถูกต้อง โปร่งใสและทั่วถึงหรือไม่
กรณี ’ปลากระป๋องเน่า“ ในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อหลายปีก่อน แม้จะไม่มาก แต่สังคมก็ตั้งคำถามอย่างรุนแรงกับรัฐบาลในขณะนั้น จนทำให้เกิดการแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง
แม้วันนี้เรื่องต่าง ๆ จะยังเป็น ’ข้อกล่าวหา“ ยังไม่มีใครชี้ชัดลงไปได้ว่า มีการทุจริตเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่หลายต่อหลายเรื่องที่ปรากฏออกมาล้วน ’ส่อ“ ไปในทางทุจริตแทบทั้งสิ้น
จำกันไม่ได้เหรอ ต่อให้รัฐบาลจะเข้มแข็งมากมายขนาดไหน ก็อยู่ไม่ได้หากเกิดการ ’ทุจริตคอร์รัปชั่น“.

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น